ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2024 ยังคงชะลอตัวลงต่อเนื่องจากปี 2023 แต่ภาพของวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นในช่วงเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมากำลังสิ้นสุดลง และเรากำลังเข้าสู่ช่วงของการคงและปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลาง ในสถานการณ์นี้คาดว่าจะมีสินทรัพย์ที่เป็นผู้ชนะที่ชัดเจน คือ ตราสารหนี้ นอกจากนี้ยังมีสินทรัพย์รวมถึงกลุ่มหุ้นบางกลุ่มที่คาดว่ายังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในปี 2024 นี้
การใช้นโยบายการเงินเพื่อกดดันความร้อนแรงของอัตราเงินเฟ้อ โดยเฉพาะการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางประเทศต่างๆในช่วงเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมา นับเป็นการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดที่สุดในรอบหลายทศวรรษ และได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ รวมถึงผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนอย่างมาก อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องจากระดับ 9.1% ช่วงกลางปี 2022 สู่ระดับล่าสุดที่ 3.1% ในเดือน พ.ย.2023 ทำให้ความจำเป็นในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐลดลง ในขณะเดียวกันภาพรวมเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงรวมถึงตลาดแรงงานที่เริ่มตึงตัวเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ธนาคารกลางต้องเริ่มปรับทิศทางของนโยบายการเงิน โดยในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) รอบล่าสุด (13ธ.ค.) ที่ประชุมมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5.25-5.50% และยังส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยถึง 3 ครั้ง ในปี 2024
การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายติดต่อกันใน 3 รอบการประชุม รวมถึงการส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในปี 2024 เป็นการสะท้อนถึงการสิ้นสุดวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น และส่งผลให้อัตราผลตอนแทนพันธบัตร (Bond Yield) ปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว
การสิ้นสุดวัฏจักรของดอกเบี้ยขาขึ้น ท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก จะมีทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ในโลกการลงทุน โดยเราแบ่งธีมการลงทุนจากเหล่าผู้ชนะเป็น 3 ธีม ดังนี้
1. The Asset Winners
กลุ่มสินทรัพย์ที่มีกระแสเงินสดสม่ำเสมอ และเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรกลับทิศเป็นขาลง ได้แก่ ตราสารหนี้ และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
– การลงทุนในตราสารหนี้ในช่วงที่ดอกเบี้ยเริ่มกลับทิศเป็นขาลง จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ทั้งจากการเพิ่มขึ้นของราคาพันธบัตร (Capital Gain) และยังได้จากอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (Coupon Yield)
– กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (REITs) คล้ายคลึงกับการลงทุนในตราสารหนี้ตรงที่มีรายได้ในรูปปันผลชัดเจน และเมื่อดอกเบี้ยกลับตัวเป็นขาลงยิ่งทำให้ผลตอบแทนจากปันผลของรีทมีความน่าสนใจขึ้นเมื่อเทียบกับดอกเบี้ย
2. The Sector Winners
กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความแข็งแกร่ง อัตราการเติบโตของรายได้ไม่ผันผวนไปตามภาวะเศรษฐกิจ แม้อยู่ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ได้แก่ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และหุ้นกลุ่มสุขภาพ
– กลุ่มเทคโนโลยีมีระดับราคาเทียบกับการเติบโต (PEG Ratio) ดีกว่าตลาดหุ้นโดยรวม และยังเป็นกลุ่มที่ได้รับการปรับประมาณการขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับทุกกลุ่มอุตสาหกรรมเนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีนวัตกรรมใหม่อย่างต่อเนื่อง เช่น เทคโนโลยี AI ที่ประสบความสำเร็จในปี 2023
– กลุ่มสุขภาพ (Healthcare) เป็นกลุ่มที่มีความเป็น defensive ชัดเจน และมีนวัตกรรมจากการคิดค้นยา รักษาโรคชนิดใหม่ ทำให้ยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดีแม้ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
3. The Country Winners
ประเทศที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มประเทศเอเชียเหนือ และประเทศเวียดนาม
– กลุ่มเอเชียเหนือ (North Asia) เป็นต้นน้ำสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเฉพาะเกาหลีใต้ และไต้หวันที่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายสำคัญของโลก ในขณะที่ภาพรวมของบริษัทจดทะเบียนเติบโตโดดเด่น โดยเฉพาะเกาหลีใต้ที่มีอัตราการเติบโตทางกำไรของบริษัทจดทะเบียน (EPS Growth) ปี 2024 สูงกว่า 50%
– ประเทศเวียดนาม มีความโดดเด่นในทั้งแง่อัตราการเติบโตและระดับราคา โดยเวียดนามตั้งเป้า GDP ที่ 6-6.5% และมีอัตราการเติบโตของบริษัทจดทะเบียน (EPS Growth) ปี 2024 สูงราว 30% ในขณะที่ยังซื้อขายในระดับราคาที่ค่อนข้างต่ำ
ดังนั้น ในปี 2024 ที่เศรษฐกิจชะลอตัว ดอกเบี้ยกลับทิศเป็นขาลง เรามองว่ากลุ่มตราสารหนี้ และ REITs มีความน่าสนใจมาก ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมอย่าง Healthcare และ Technology จะยังคงแข็งแกร่ง ส่วนกลุ่มประเทศที่น่าสนใจในแง่อัตราการเติบโตคือ กลุ่มเอเชียเหนือ และเวียดนาม
หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง สามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่ [email protected] I
บทความโดย ณัฐพร ธรวงศ์ธวัช AFPT™
Wealth Manager ธนาคารทิสโก้
เผยแพร่ครั้งแรก เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ