ช้อนซื้อสินทรัพย์ รับนโยบายผ่อนคลายครึ่งปีหลัง

บทความการลงทุนเชิงลึก ที่คุณไม่ควรพลาด

1689301789130

เมื่อวันที่ 13 – 14 มิ.ย. Fed มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 5 – 5.25% แม้คณะกรรมการส่วนใหญ่ยังมีความเห็นว่าอาจมีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 50 bps ในปีนี้ แต่การตัดสินใจคงดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2022 บ่งชี้ว่า Fed อาจขึ้นดอกเบี้ยใกล้ถึงจุดสูงแล้ว ด้วยเหตุผล 3 ประการ คือ 1) อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลง 2) ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (LEI) หดตัว และ 3) ภาคธนาคารเริ่มมีปัญหาขาดสภาพคล่อง ซึ่ง 2 ประเด็นหลังนั้นสามารถใช้การดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพื่อบรรเทาสถานการณ์ได้ จึงเป็นที่มาว่า Fed ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยเพื่อประคองสถานการณ์ อย่างไรก็ดีการผ่อนคลายนโยบายการเงินส่งผลดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้นด้วย ดังนั้นการเลือกลงทุนควรเลือกกลุ่มสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีช่วงก่อนและหลังเกิด Recession อย่างระมัดระวังให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจในสหรัฐฯ หรือประเทศอื่นที่มีทิศทางนโยบายของภาครัฐที่ผ่อนคลาย อาจเป็นโอกาสให้นักลงทุนสามารถสร้างกำไรที่ดีกว่าตลาดในช่วงนี้ได้ด้วย

สินทรัพย์กลุ่มแรกที่เป็นจังหวะที่ดีในการลงทุน คือ พันธบัตรหรือตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับสามารถลงทุนได้หรือ Investment Grade (IG) โดยจากข้างต้นที่เกริ่นไว้ว่าปีนี้จะเป็นปีที่ระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงสุดและจะค่อยๆ ปรับลดลงตามทิศทางอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวตามเศรษฐกิจ เมื่อเราเริ่มลงทุนกองทุนตราสารหนี้ช่วงอัตราดอกเบี้ยสูงจะช่วยให้ผลตอบแทนที่คาดหวังส่วนของอัตราดอกเบี้ยของตราสารหนี้สูงเช่นกัน ประกอบกับว่าจะมีโอกาสได้ผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Capital Gain) จากราคาตราสารหนี้ที่จะเพิ่มขึ้นจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่จะลดลงในอนาคตด้วย ซึ่งข้อมูลตั้งแต่ปี 1997 เป็นต้นมา 12 เดือนหลังจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึงจุดสูงสุด ดัชนี Bloomberg Aggregate Bond ที่เป็นตัวแทนของการลงทุนในตราสารหนี้ IG ของสหรัฐฯ สามารถสร้างผลตอบแทนรวมโดยเฉลี่ยได้ถึงปีละ 12%

ในส่วนของตลาดหุ้นนั้นภาพการลงทุนในครึ่งปีหลัง 2023 นั้นเมื่อพิจารณาจากสถิติที่จัดทำโดย Goldman Sachs สรุปว่าตั้งแต่ปี 1989 เมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายถึงจุดสูงสุดจนถึงการลดดอกเบี้ยครั้งแรกใน 5 ครั้งที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (ดัชนี S&P500) ให้ผลตอบแทนเป็นบวกจาก 4 ใน 5 ครั้ง โดยมีผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ +13% จากช่วงเวลาดังกล่าว และภาพการลงทุนอีก 12 เดือนข้างหน้าที่มีความเสี่ยง Recession ควรเลือกลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงของธุรกิจในช่วง Recession ต่ำ โดยมีรายได้และกำไรไม่ผันผวนไปตามภาวะเศรษฐกิจ หากอ้างอิงจากข้อมูลย้อนหลัง 20 ปีที่ผ่านมา เกิดวิกฤตเศรษฐกิจใหญ่ 2 ครั้งได้แก่วิกฤต Hamburger และ COVID-19 กลุ่มหุ้นเทคโนโลยีและเฮลธ์แคร์เป็นกลุ่มที่มีกำไร เติบโตเฉลี่ยทั้ง 2 วิกฤต +2.5% และ +6.6% ตามลำดับขณะที่หุ้นในดัชนี S&P500 เฉลี่ยทั้ง 2 วิกฤตกำไรกลับหดตัวถึง -13.1% นอกจากนี้เมื่อพ้นวิกฤตไปแล้วการเติบโตของกำไรทั้ง 2 กลุ่มนี้ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมายังมีการเติบโตสูงที่สุดในตลาดอยู่ที่ 10.1% และ 10.3% ตามลำดับอีกด้วย

นอกจากเลือกตราสารหนี้หรือกลุ่มหุ้นที่ยังมีผลตอบแทนเป็นบวกในช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยเข้าใกล้จุดสูงสุดไปแล้ว การลงทุนในตลาดหุ้นประเทศเวียดนามก็มีความคล้ายคลึงกับสหรัฐฯ ที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว โดยปรับขึ้นจาก 4% สู่ 6% ภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือนเมื่อปลายปีที่ผ่านมาเพื่อแก้ปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นเกินเป้าหมาย ประกอบกับการเกิดปัญหาหนี้สินของบริษัทอสังหาริมทรัพย์บางแห่งทำให้กดดันตลาดหุ้นเวียดนามมาตลอดปีที่ผ่านมา และทำให้เศรษฐกิจไตรมาสแรกของปีเติบโตเพียง +3.3% ต่ำกว่าเป้าหมายระยะยาว +7% อย่างมาก อย่างไรก็ดีรัฐบาลออกมาตรการต่างๆ เพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ข้างต้นผ่าน 4 มาตรการ คือ 1) ลดดอกเบี้ยนโยบายมาแล้วจาก 6% สู่ 4.5% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากอัตราเงินเฟ้อเริ่มกลับมาต่ำกว่าเป้าหมาย 2) ผ่อนคลายการควบคุมตลาดตราสารหนี้ให้ยืดระยะเวลาชำระหนี้และสามารถใช้สินทรัพย์ที่จับต้องได้ (Physical asset) ชำระหนี้แทนได้ 3) เพิ่มระยะเวลา VISA

ท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว และ 4) ลดภาษี VAT จาก 10% เป็น 8% เพื่อกระตุ้นการบริโภค และประกอบด้วยมูลค่าของตลาดหุ้น ณ ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ P/E Ratio เพียง 10 เท่า ซึ่งถูกกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ผ่านมาถึง 20% ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเพื่อสร้างผลตอบแทนในช่วงครึ่งปีหลัง

ภาพการลงทุนครึ่งปีหลังนี้ อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของทิศทางเศรษฐกิจต่างจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เช่น ประเทศที่ต้องกลับมาผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้นเพราะเศรษฐกิจกำลังชะลอตัวอย่างสหรัฐฯ โดยเลือกการลงทุนในพันธบัตรหรือตราสารหนี้ต่างประเทศความน่าเชื่อถือสูง รวมถึงตลาดหุ้นเน้นไปที่กลุ่มเทคโนโลยีและเฮลธ์แคร์เพราะมีความมั่นคงของธุรกิจสูงในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว และกระจายลงทุนไปยังประเทศเวียดนามที่กำลังกระตุ้นเศรษฐกิจโดยยังมีมูลค่าตลาดหุ้นที่ถูกว่าในอดีต ซึ่งสินทรัพย์เหล่านี้น่าจะช่วยสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2023 นี้

บทความโดย : ศิวกร ทองหล่อ CFP® Wealth Manager

หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง สามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่ [email protected] 

เผยแพร่ครั้งแรกเว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ

บทความล่าสุด

4 ปัจจัยหนุน หุ้นญี่ปุ่นพุ่งทะยานปี 2025

ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2025 ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งจากนโยบายกีดกันทางค้าของสหรัฐฯ ความเสี่ยงเงินเฟ้อที่อาจกลับมาเร่งตัวขึ้น ตลอดจน Valuation ของตลาดหุ้นหลายแห่งที่เริ่มตึงตัว ปัจจัยเหล่านี้อาจสร้างแรงกดดันให้กับตลาดหุ้นทั่วโลกได้

อ่านต่อ >>

ยุคทองของหุ้นสหรัฐฯ กำลังเริ่มต้น 

นายโดนัลด์ ทรัมป์ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมา พร้อมกล่าวว่า “ยุคทอง” ของสหรัฐฯ กำลังเริ่มต้นขึ้น โดยออกคำสั่งประธานาธิบดี (Executive orders) หลายฉบับ และคำแถลงต่างๆ ที่เป็นแนวทางในการบริหารประเทศในช่วง 100 วันแรก

อ่านต่อ >>

เปิด 3 กลยุทธ์ ที่ต้องมีเมื่อเริ่มยุคทองของทรัมป์ในปี 2025

ผ่านพ้นปี 2024 เป็นปีที่สินทรัพย์ส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกต่อเนื่องอีกปี ตลาดหุ้นโลกให้ผลตอบแทน 18% ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 20% ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 แม้แต่ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นได้ 18% หลังจากเงียบเหงามากว่า 2 ปี

อ่านต่อ >>

4 ปัจจัยหนุน หุ้นญี่ปุ่นพุ่งทะยานปี 2025

ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2025 ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งจากนโยบายกีดกันทางค้าของสหรัฐฯ ความเสี่ยงเงินเฟ้อที่อาจกลับมาเร่งตัวขึ้น ตลอดจน Valuation ของตลาดหุ้นหลายแห่งที่เริ่มตึงตัว ปัจจัยเหล่านี้อาจสร้างแรงกดดันให้กับตลาดหุ้นทั่วโลกได้

อ่านต่อ >>

ยุคทองของหุ้นสหรัฐฯ กำลังเริ่มต้น 

นายโดนัลด์ ทรัมป์ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมา พร้อมกล่าวว่า “ยุคทอง” ของสหรัฐฯ กำลังเริ่มต้นขึ้น โดยออกคำสั่งประธานาธิบดี (Executive orders) หลายฉบับ และคำแถลงต่างๆ ที่เป็นแนวทางในการบริหารประเทศในช่วง 100 วันแรก

อ่านต่อ >>

เปิด 3 กลยุทธ์ ที่ต้องมีเมื่อเริ่มยุคทองของทรัมป์ในปี 2025

ผ่านพ้นปี 2024 เป็นปีที่สินทรัพย์ส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกต่อเนื่องอีกปี ตลาดหุ้นโลกให้ผลตอบแทน 18% ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 20% ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 แม้แต่ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นได้ 18% หลังจากเงียบเหงามากว่า 2 ปี

อ่านต่อ >>
Scroll to Top
ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น และนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้องและตรงกับความสนใจของท่าน โดยท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก นโยบายการใช้คุกกี้ กรุณากดยอมรับเพื่อยินยอมให้เราใช้คุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็น

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึกการตั้งค่า