เข้าสู่ช่วงไตรมาส 3/2024 ปัจจัยที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามองมากที่สุดคงหนีไม่พ้นการเลือกตั้งสหรัฐฯที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. นี้ ซึ่งจะเป็นการ Rematch ระหว่าง Donald Trump กับ Joe Biden และถือเป็นอีกครั้งในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯนับตั้งแต่ปี 1956 ที่ผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีทั้งคู่ต่างเป็น “อดีตประธานาธิบดี”
การกำหนดกลยุทธ์การลงทุนในไตรมาส 3/2024 ซึ่งจะเป็นช่วงที่มีการหาเสียงเพื่อเพิ่มคะแนนนิยม ตลอดจนสื่อสารนโยบายให้สาธารณชนรับทราบ จึงถือเป็นเรื่องสำคัญที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด วิเคราะห์แนวทางการดำเนินนโยบายและปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป โดยมีนโยบาย 3 ด้านที่สำคัญ ดังนี้
1. Trade Policy
นโยบายการค้าระหว่างประเทศระหว่างสหรัฐฯกับจีน ถือเป็นปัจจัยที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดหุ้นมากที่สุด โดยสหรัฐฯยังคงมีความพยายามที่จะกีดกันจีนในการก้าวขึ้นมาเป็นเศรษฐกิจเบอร์หนึ่งของโลกอย่างต่อเนื่องด้วยการทำ “สงครามการค้า”
หากเปรียบเทียบนโยบายที่มีการประกาศออกมาก่อนหน้านี้ ฝั่ง Donald Trump ได้มีการประกาศว่า จะมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 60% รวมถึงจะปรับขึ้นภาษีนำเข้ากับทุกประเทศที่ส่งสินค้าไปขายที่สหรัฐฯ 10% ในขณะที่ Joe Biden ก็มีนโยบายที่จะปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเช่นกัน โดยมุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ของจีน ยกตัวอย่างเช่น รถยนต์ไฟฟ้า เซมิคอนดักเตอร์ แบตเตอรี่และแผงโซลาร์ ปัจจัยเหล่านี้อาจสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นจีนในไตรมาส 3/2024 ให้ Underperform ตลาดหุ้นทั่วโลก
จากการศึกษาข้อมูลย้อนหลังไปในอดีต ในยุคที่มีการทำ Trade war ช่วงปี 2017 – 2019 พบว่า ตลาดหุ้นที่มีความสัมพันธ์ (Correlation) กับตลาดหุ้นจีนน้อย คือ “ตลาดหุ้นอินเดียและตลาดหุ้นเวียดนาม” ซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในช่วงเวลาดังกล่าวถึง 55% และ 43% ตามลำดับ เนื่องจากทั้งสองประเทศได้รับประโยชน์จากเทรนด์การโยกย้ายฐานการผลิตออกจากจีน มีความได้เปรียบด้านค่าแรงที่ถูก ตลอดจนมีฐานการบริโภคภายในประเทศขนาดใหญ่จากจำนวนประชากรที่มากติดอันดับโลก ส่งผลให้ GDP ของอินเดียและเวียดนามในปีนี้ ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งในปีนี้ถึง 7.8% และ 6% ตามลำดับ ดังนั้น ในไตรมาส 3/2024 ตลาดหุ้นเวียดนามกับอินเดีย มีโอกาสที่จะ Outperform ตลาดหุ้นอื่นๆทั่วโลก หากสงครามการค้าเริ่มปะทุขึ้น
2. Healthcare Policy
การเคลื่อนไหวของหุ้นกลุ่ม Healthcare มักถูกนำมาเชื่อมโยงกับประเด็นการเลือกตั้งของสหรัฐฯอยู่เสมอ นักลงทุนส่วนใหญ่มีความเชื่อว่า หุ้นกลุ่ม Healthcare มักจะ Underperform ตลาดในปีที่มีการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม สถิติย้อนหลังนับตั้งแต่ปี 1992 จนถึง 2020 ชี้ว่า หุ้นกลุ่ม Healthcare กลับให้ผลตอบแทน “ชนะตลาด” โดยทำผลตอบแทน Outperform ดัชนี S&P500 เฉลี่ยราว 1.2% ในปีที่มีการเลือกตั้งสหรัฐฯ
ในการเลือกตั้งครั้งนี้ หากพิจารณาในแง่มุมของนโยบายด้าน Healthcare แล้ว พบว่า Donald Trump มักให้การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ประเภทต่างๆ รวมถึงเพิ่มความโปร่งใสในธุรกิจประกันสุขภาพและโรงพยาบาล เพื่อป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภค ในขณะที่ Joe Biden จะมุ่งเน้นไปที่การต่อรองราคายาแบบเก่าที่อยู่ในบัญชีประกันสุขภาพของภาครัฐ (Medicare) รวมถึงการสานต่อนโยบาย Obamacare ซึ่งเน้นให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพได้อย่างถ้วนหน้า
ดังนั้น เรามองว่าหุ้นกลุ่ม Healthcare น่าจะได้รับผลกระทบจำกัดจากนโยบายหาเสียงเลือกตั้งสหรัฐฯในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนยังกังวลกับความเสี่ยงเรื่องนโยบายการลดราคายาที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติมในอนาคต “หุ้นกลุ่ม Biotechnology” ซึ่งเป็นผู้ผลิตและคิดค้นยานวัตกรรมและได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและมีภาพการเติบโตที่ชัดเจน
3. Energy Policy
หากเปรียบเทียบนโยบายด้านพลังงานระหว่าง Trump กับ Biden ถือว่ามีความแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว กล่าวคือ Biden จะมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนธุรกิจพลังงานสะอาด อย่างเช่น รถยนต์ไฟฟ้าและโครงการพลังงานสะอาดชนิดต่างๆ โดยตั้งเป้าจะนำพาสหรัฐฯให้บรรลุเป้าหมาย Net-zero emission ภายในปี 2050 พร้อมทั้งสนับสนุนงบประมาณมหาศาลผ่านกฏหมาย Inflation Reduction Act ตรงกันข้ามกับ Trump ที่สนับสนุนอุตสาหกรรมพลังงานแบบดั้งเดิมอย่างเช่น น้ำมัน ถ่านหิน โดยมีนโยบายสนับสนุนให้เพิ่มการสำรวจขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ รวมถึงให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับธุรกิจพลังงานดั้งเดิม ดังนั้น การเลือกลงทุนระหว่าง ธุรกิจพลังงานสะอาด และ ธุรกิจพลังงานแบบดั้งเดิม ยังคงมีความเสี่ยงทางด้านนโยบายที่สูง ขึ้นอยู่กับคะแนนนิยมและผลการเลือกตั้งว่าจะออกมาเป็นอย่างไร เราจึงแนะนำ นักลงทุนที่มีหุ้นกลุ่มพลังงานทั้งสองรูปแบบ “ทยอยลดสัดส่วนในการลงทุน” และรอดูสถานการณ์ก่อน
จะเห็นได้ว่าการเลือกตั้งของสหรัฐฯ นอกจากจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและอุตสาหกรรมต่างๆแล้ว ยังส่งผลต่อการกำหนดกลยุทธ์การลงทุนที่แตกต่างกันด้วย ดังนั้น นักลงทุนจึงควรติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและปรับพอร์ตให้สอดรับกับนโบายที่จะเกิดขึ้นในอีก 4 ปีข้างหน้า เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ชนะตลาด ภายใต้บริบททางเศรษฐกิจและการเมืองที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป
บทความโดย ภาคภูมิ พีรยวัฒนา AFPT™
Assistant Wealth Manager ธนาคารทิสโก้