ผ่านพ้นปี 2024 เป็นปีที่สินทรัพย์ส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกต่อเนื่องอีกปี ตลาดหุ้นโลกให้ผลตอบแทน 18% ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 20% ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 แม้แต่ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นได้ 18% หลังจากเงียบเหงามากว่า 2 ปี โดยมีสาเหตุหลักจากภาพใหญ่ของเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มทางการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นทั้งจากธนาคารกลางที่เข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง รวมถึงเศรษฐกิจโลกที่เติบโตได้ดีกว่าคาด จนเปลี่ยนมุมมองเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง 2024 เป็น ภาพเศรษฐกิจเติบโตได้ต่อเนื่อง (Soft landing) จากเดิมที่กังวล ภาพการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession)
ในปี 2025 เศรษฐกิจโดยรวมยังได้รับแรงหนุนจากภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวในปีที่ผ่านมา ขณะที่การกลับมาดำรงตำแหน่ง ปธน. ทรัมป์ อีกครั้ง ถือว่าเป็นตัวแปรที่จะทำให้สินทรัพย์การเงินมีความผันผวนมากขึ้นจากนโยบายเชิงรุกรอบใหม่ที่เน้นการสนับสนุน “ยุคทองของสหรัฐฯ” ทั้งด้านการเติบโตของเศรษฐกิจและการลงทุน ขณะที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายสงครามการค้าจำกัดแตกต่างจากประเทศอื่น
ทำให้การลงทุนในปี 2025 นักลงทุนอาจจะต้องเอาใจใส่ทั้งการคัดเลือกและวางกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมมากขึ้น โดย 3 กลยุทธ์ที่ช่วยให้ลงทุนในปีนี้ ได้แก่
1.เพิ่มสัดส่วนหุ้น โดยเฉพาะสหรัฐฯ IMF ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกปี 2025 จะขยายตัวได้ 3.2% เท่ากับปีก่อนหน้า โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯที่จะเติบโตแข็งแกร่งมากว่าคาดที่ระดับ 2.2% และสูงกว่าแนวโน้มระยะยาว ขณะที่วัฏจักรดอกเบี้ยยังอยู่ในแนวโน้มขาลง นอกจากนี้ประเมินว่านโยบายของ
Trump 2.0 จะช่วยให้กำไรบริษัททจดทะเบียนขยายตัวมากขึ้นรวมถึงผ่อนคลายข้อกำหนดการทำธุรกิจ (Deregulate) ซึ่งเป็นสภาวะที่ดีในการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่าง หุ้นสหรัฐฯ
2.เพิ่มความมั่นคงของพอร์ตด้วยตราสารหนี้ เศรษฐกิจที่ขยายตัวต่อเนื่องทำให้ความเสี่ยงเศรษฐกิจลดลง ส่งผลให้ผลตอบแทนคาดหวังจากการลงทุนตราสารหนี้สูงขึ้น ขณะที่วัฏจักรการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกยังมีต่อเนื่องในปี 2025 จะเป็นปัจจัยบวกสำหรับ ตราสารหนี้ระยะสั้น-กลาง เนื่องจากตราสารหนี้ระยะสั้น-กลาง มักจะเคลื่อนไหวตามการกับลดดอกเบี้ยนโยบายและถูกผลกระทบจากเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นตามนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าจำกัด
ทำให้ปีนี้การเลือกลงทุนตราสารหนี้นอกจากจะใช้เพื่อการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนแล้วและยังได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงอีกด้วย โดยเฉพาะช่วงที่คาดว่าความไม่แน่นอนจะเพิ่มสูงขึ้นสามารถเลือกใช้การเพิ่มสัดส่วนตราสารหนี้และลดสัดส่วนหุ้น จนกว่าสถานการณ์จะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นได้
3.ทยอยลงทุนหรือ Buy on dip ในช่วงตลาดผันผวน สินทรัพย์ทางการเงินและความผันผวนเป็นสิ่งที่คู่กัน แต่ในปีนี้คาดว่าจะเห็นการเกิด Healthy correction หรือการปรับฐานระยะสั้นเป็นระยะราว 5-10% ซึ่งมักจะเกิดในช่วงที่ Valuation ตลาดเริ่มตึงตัว อย่างไรก็ตามการปรับตัวขึ้นมาของตลาดหุ้นรอบนึ้เกิดขึ้นจากกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ข้อมูลจาก bloomberg มองว่าหุ้นโลกในปีนี้จะสามารถเติบโตได้ราว 9% ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯทั้ง S&P500 และ Nasdaq คาดว่ากำไรต่อหุ้นจะโตได้ 15% และ 27% ตามลำดับ ทำให้การปรับตัวลงของตลาดหุ้นรอบนี้กลายเป็นโอกาสที่จะทยอยเพิ่มการลงทุนในปีนี้
โดยสรุปในปีนี้การลงทุนยังคงเห็นแนวโน้มที่ดีแต่นักลงทุนควรต้องเอาใจใส่และจัดสรรการลงทุนแบบ Active มากขึ้น โดยเลือกลงทุนในตลาดหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนโยบาย Trump 2.0 อย่างสหรัฐฯ ผสมกับการใช้ตราสารหนี้เพื่อไม่ให้พอร์ตการลงทุนผันผวนมากเกินไป
รวมถึงใช้ประโยชน์ในช่วงตลาดผันผวนทยอยซื้อหุ้นที่ปรับตัวลงมา จะช่วยทำให้ทำให้นักลงทุนสามารถ “Stay invest” การลงทุนได้ตลอดปีนี้
บทความโดย ยศรวี จงแสงทอง AFPT™
Senior Wealth Manager ธนาคารทิสโก้