เมกะเทรนด์จีน เหนือกว่าสหรัฐฯ ?!?

บทความการลงทุนเชิงลึก ที่คุณไม่ควรพลาด

1629187132311

ธุรกิจเมกะเทรนด์ของจีนจะเหนือกว่าสหรัฐฯ หรือไม่ ??? ถ้าตอนนี้ “ประเทศจีน” กลายเป็นผู้ท้าชิงบัลลังก์มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ที่สหรัฐอเมริกาดำรงตำแหน่งอยู่อย่างเข้มข้นที่สุด !!! 

ก่อนที่จะไปสู่ประเด็นด้านเมกะเทรนด์ของจีน เราอยากให้คุณเห็นภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศนี้ก่อนว่า ทำไมจึงมีความโดดเด่น…

หากพิจารณาข้อมูลของประเทศจีนในมิติต่างๆ ทั้งจำนวนประชากร อัตราการเติบโตของรายได้ต่อหัวของประชากร อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความหลากหลายและการส่งเสริมการวิจัยค้นคว้า และการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ที่เริ่มล้ำหน้าชาติตะวันตก ประเด็นต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญสนับสนุนให้จีนอาจก้าวมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกหน้าใหม่ก็เป็นได้ แน่นอนว่าธุรกิจที่สามารถเกาะกระแสการเติบโตของจีนในประเด็นดังกล่าวย่อมได้อานิสงส์การเติบโตต่อเนื่องได้อีกหลายทศวรรษ

สำหรับข้อได้เปรียบสำคัญประการแรกที่ทำให้ประเทศจีนมีศักยภาพในการเป็นชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ คือ “จำนวนประชากร” กว่า 1,400 ล้านคน หรือประมาณ 1 ใน 5 ของประชากรโลก ยิ่งไปกว่านั้น รายได้สุทธิต่อหัว (Disposable Income per Capita) ของจีน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015 – 2020 เติบโตเฉลี่ยถึงปีละ 7.94% ขณะที่รายได้สุทธิต่อหัวของสหรัฐฯ เติบโตเฉลี่ยเพียง 2.72% ดังนั้น ธุรกิจใดที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของชาวจีน โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Discretionary) ย่อมได้อานิสงส์การเติบโตตามรายได้ต่อหัวที่เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

นอกจากนี้ชาวจีนนิยมซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น อีคอมเมิร์ซ โดยสถิติจาก eMarketer คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนธันวาคมปี 2020 ว่าในปี 2021 คนจีนจะใช้จ่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ราว 51% หรือราว 1.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีสัดส่วนเป็นอันดับ 1 ของโลก 

ในขณะที่สัดส่วนสหรัฐฯ พบว่ามีเพียง 15% ของยอดค้าปลีกทั้งหมดเท่านั้น บ่งบอกถึงโอกาสการเติบโตของธุรกิจ Consumer Discretionary ภายในประเทศจีน เนื่องด้วยความสะดวกสบายในการใช้จ่าย และยังมีศักยภาพเติบโตได้อีกมาก จากแนวโน้มอัตราการเติบโตของรายได้สุทธิต่อหัวของคนจีนที่โดดเด่นเช่นกัน

อย่างไรก็ดี เนื่องด้วยประเทศจีนเคยดำเนินนโยบายลูกคนเดียว (One-child Policy) ในอดีต ทำให้โครงสร้างประชากรจีนกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเช่นเดียวกับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจลำดับต้นๆ ของโลก จากรายงานโดยสำนักสถิติแห่งชาติของจีนเมื่อปี 2020 ระบุว่า ประชากรจีนมีสัดส่วนผู้สูงอายุ (อายุ 65 ปีขึ้นไป) แตะ 12% โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5% ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา และจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ น่าจะมีผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อร้ายแรง (NCDs) เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิต โรคเบาหวาน หรือโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นราว 40% ในอีก 10 ปีข้างหน้า ดังนั้น ธุรกิจที่อาจได้รับความนิยมมากขึ้นจากนี้คงหนีไม่พ้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ อย่างธุรกิจ Healthcare 

นอกเหนือจากรายได้สุทธิต่อหัวของคนจีนที่เติบโตสูงตามที่กล่าวข้างต้น สัดส่วนการใช้จ่ายด้านสุขภาพยังถือว่าต่ำกว่าประเทศที่มีโครงสร้างประชากรเป็นสังคมผู้สูงอายุ หากเปรียบเทียบระหว่างสหรัฐฯ และจีน พบว่ามีสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพต่อ GDP ที่ 16.9% และ 5.4% ตามลำดับ หรือต่างกันกว่า 3 เท่าตัว 

ดังนั้น ธุรกิจที่เกี่ยวกับสุขภาพยังมีช่องทางขยายตลาดการจำหน่ายยารักษาโรค NCDs ได้อีกมากมาย โดย JP Morgan รายงานว่าเม็ดเงินการทำ R&D ของบริษัทเวชภัณฑ์จีนตั้งแต่ปี 2014 – 2019 เพิ่มขึ้นจาก 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สู่ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเฉลี่ยปีละ 19.57% ซึ่งการทำ R&D มาก ย่อมช่วยเร่งให้มียารักษาโรคตัวใหม่ๆ ที่มีนวัตกรรมที่ดีกว่ายาเดิมในท้องตลาด และสามารถสร้างยอดขายที่แก่ธุรกิจเฮลธ์แคร์ในจีนได้อย่างโดดเด่นอีกด้วย

นอกจากปัจจัยโครงสร้างประชากรแล้ว ปัจจัยสนับสนุนจากภาครัฐฯ เองที่กำหนดทิศทางประเทศมาตลอด 100 ปี จนสามารถประกาศชัยชนะต่อความยากจนได้ โดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน เริ่มใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 14 ระยะเวลาตั้งแต่ปี 2021 – 2025 โดยส่วนหนึ่งของเป้าหมายที่เป็นรูปธรรม คือ ผลักดันงบประมาณการทำ R&D ให้ได้ถึง 7% ต่อ GDP ต่อปีให้ได้ภายในปี 2025 

นับได้ว่าเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย เพราะจะทำให้จีนเป็นประเทศที่ทุ่มงบ R&D สัดส่วนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลกทันที โดยมุ่งเน้นด้านที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เช่น Semiconductor, Healthcare, Quantum Computing และ Cloud computing เป็นต้น โดยธุรกิจ Semiconductor ในจีนจะช่วยให้ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศได้ หรือ ธุรกิจ Cloud Computing จากทั้ง Alibaba, Tencent, Baidu, JD.com หรือ Kingsoft ด้วยการสนับสนุนพัฒนา Platform ต่างๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าชาวจีนมาใช้บริการมากขึ้น และเพื่อป้องกันคู่แข่งขันที่แข็งแกร่งจากฝั่งตะวันตกอย่าง Amazon, Google หรือ Microsoft เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดชาวจีน 

นอกจากนี้ รัฐบาลจีนมีนโยบาย “Carbon Neutrality” หรือลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เหลือศูนย์ได้ภายในปี 2060 ดังนั้น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทางเลือกในจีน เช่น รถยนต์ไฟฟ้า เช่น NIO, BYD, Geely เป็นต้น หรือผู้นำด้านพลังงานแสงอาทิตย์ เช่น Xinyi Solar Holdings ที่เป็นผู้ผลิตแผงโซล่าเซลล์อันดับ 1 ในจีน อาจได้อานิสงส์จากแรงสนับสนุนจากรัฐบาลจีนเช่นกัน

จะเห็นได้ว่าธุรกิจในจีนเองก็มีธีมการลงทุนระยะยาวที่น่าสนใจไม่แพ้ฝั่งตะวันตก เช่น ธุรกิจ Consumer Discretionary ที่ได้ประโยชน์จากจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก การเริ่มต้นสังคมผู้สูงอายุกับการเติบโตในอัตราเร่งของธุรกิจสุขภาพในจีน หรือการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีของรัฐบาลจีนผ่านยุทธศาสตร์ฉบับที่ 14 ที่ช่วยให้ธุรกิจเทคโนโลยีสัญชาติจีนมีโอกาสขยายศักยภาพเพื่อให้ทัดเทียมกับฝั่งตะวันตกและสามารถพึ่งพาตนเองได้ตามยุทธศาสตร์วงจรคู่ขนานที่รัฐบาลจีนตั้งเป้าไว้ก่อนหน้านี้ได้อีกด้วย

================================

บทความโดย : ศิวกร ทองหล่อ CFP® Wealth Manager ธนาคารทิสโก้

บทความล่าสุด

แจกทริกตั้งเป้าหมายทางการเงินให้ปังไม่พังตั้งแต่ต้นปี

เมื่อเริ่มต้นปีใหม่ หลายคนมักตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาตัวเองในด้านต่าง ๆ รวมถึงเรื่องการเงิน เช่น การออมเงิน ลดหนี้ หรือเพิ่มรายได้ แต่บ่อยครั้งที่เป้าหมายเหล่านี้มักไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ ข้อมูลจาก Forbes พบว่ากว่า 80% ของการตั้งเป้าหมายช่วงปีใหม่มักล้มเหลวภายในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยทั้ง การตั้งเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน ขาดการวางแผนที่ดี และการลงมือทำที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถจัดการได้ถ้ารู้จักหลัก S.M.A.R.T. รวมถึงเพิ่ม 3 ทริกที่จะเพิ่มโอกาสความสำเร็จของเป้าหมาย

อ่านต่อ >>

ญี่ปุ่น ฟื้นจากเงินฝืดสู่เงินเฟ้อ สร้างภูมิต้านทานสงครามการค้า

เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปี 2025 พร้อมกับการพลิกจากภาวะเงินฝืดสู่ภาวะเงินเฟ้อ ในขณะที่ผลกระทบจากประเด็นการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ เป็นไปอย่างจำกัด จึงทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีโอกาสจะเป็นตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้ดีและมีความแข็งแกร่งในปี 2025 นี้

อ่านต่อ >>

ธ.ทิสโก้ เปิด 3 กลุ่มสินทรัพย์ โอกาสสร้างกำไรทะยาน ! ปี 68

Wealth Advisory ธนาคารทิสโก้ คาดนโยบาย โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หนุน 3 กลุ่มสินทรัพย์ราคาทะยาน ได้แก่ 1. กลุ่มอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ คือ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย บริการการสื่อสาร และกลุ่มสถาบันการเงิน 2. กลุ่มประเทศที่ราคาหุ้นขึ้นช่วงสงครามการค้า คือ อินเดีย เวียดนาม และญี่ปุ่น และ 3. กลุ่มสินทรัพย์ได้ประโยชน์จากนโยบายการเงิน – การคลัง คือ ตราสารหนี้ รีท และทองคำ พร้อมชี้ราคาหุ้นจีน น้ำมัน และพลังงานจ่อดิ่ง แนะหลีกเลี่ยงลงทุน

อ่านต่อ >>

แจกทริกตั้งเป้าหมายทางการเงินให้ปังไม่พังตั้งแต่ต้นปี

เมื่อเริ่มต้นปีใหม่ หลายคนมักตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาตัวเองในด้านต่าง ๆ รวมถึงเรื่องการเงิน เช่น การออมเงิน ลดหนี้ หรือเพิ่มรายได้ แต่บ่อยครั้งที่เป้าหมายเหล่านี้มักไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ ข้อมูลจาก Forbes พบว่ากว่า 80% ของการตั้งเป้าหมายช่วงปีใหม่มักล้มเหลวภายในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยทั้ง การตั้งเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน ขาดการวางแผนที่ดี และการลงมือทำที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถจัดการได้ถ้ารู้จักหลัก S.M.A.R.T. รวมถึงเพิ่ม 3 ทริกที่จะเพิ่มโอกาสความสำเร็จของเป้าหมาย

อ่านต่อ >>

ญี่ปุ่น ฟื้นจากเงินฝืดสู่เงินเฟ้อ สร้างภูมิต้านทานสงครามการค้า

เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปี 2025 พร้อมกับการพลิกจากภาวะเงินฝืดสู่ภาวะเงินเฟ้อ ในขณะที่ผลกระทบจากประเด็นการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ เป็นไปอย่างจำกัด จึงทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีโอกาสจะเป็นตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้ดีและมีความแข็งแกร่งในปี 2025 นี้

อ่านต่อ >>

ธ.ทิสโก้ เปิด 3 กลุ่มสินทรัพย์ โอกาสสร้างกำไรทะยาน ! ปี 68

Wealth Advisory ธนาคารทิสโก้ คาดนโยบาย โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หนุน 3 กลุ่มสินทรัพย์ราคาทะยาน ได้แก่ 1. กลุ่มอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ คือ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย บริการการสื่อสาร และกลุ่มสถาบันการเงิน 2. กลุ่มประเทศที่ราคาหุ้นขึ้นช่วงสงครามการค้า คือ อินเดีย เวียดนาม และญี่ปุ่น และ 3. กลุ่มสินทรัพย์ได้ประโยชน์จากนโยบายการเงิน – การคลัง คือ ตราสารหนี้ รีท และทองคำ พร้อมชี้ราคาหุ้นจีน น้ำมัน และพลังงานจ่อดิ่ง แนะหลีกเลี่ยงลงทุน

อ่านต่อ >>
Scroll to Top
ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น และนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้องและตรงกับความสนใจของท่าน โดยท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก นโยบายการใช้คุกกี้ กรุณากดยอมรับเพื่อยินยอมให้เราใช้คุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็น

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึกการตั้งค่า