“China Biotechnology” ผู้นำนวัตกรรมยารักษาโรค

บทความการลงทุนเชิงลึก ที่คุณไม่ควรพลาด

1622435478721

Biotechnology เป็นส่วนหนึ่งในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของจีนฉบับที่ 14 (China’s 14th Five-Year Plan) แผนยุทธศาสตร์ Made in China 2025 และแผนพัฒนา Healthy China 2030 ซึ่งจีนตั้งเป้าที่จะเป็นผู้นำระดับโลกด้านการผลิตยารักษาโรคด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่ (Innovative Drugs) 

ภายใต้แผนดังกล่าว จีนมีเป้าหมายให้บริษัทยากว่า 100 บริษัท มีผลิตภัณฑ์ยาที่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) รวมถึงสนับสนุนการทำวิจัยพัฒนา (R&D) ยาจีนและยาที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechology)

ทั้งนี้ ในปี 2025 จีนคาดหวังให้ยารักษาโรคของจีนสามารถส่งออกไปยังประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่นได้

ข้อมูลจาก IQVIA บริษัทเทคโนโลยีสารสนเทศด้านสุขภาพของสหรัฐฯ รายงานว่า ในปี 2016 อุตสาหกรรมยาของจีนได้แซงหน้าญี่ปุ่น ขึ้นเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมยาที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และคาดว่า ภายในปี 2024 จีนจะสามารถแซงหน้าสหรัฐฯ ขึ้นเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมยาใหญ่ที่สุดในโลกได้ ทั้งนี้ ตามข้อมูลของ GlobalData พบว่า ในปี 2018 ตลาดยาในจีนมีมูลค่า 132 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยคาดว่า จะพุ่งสูงขึ้นเกือบ 2 เท่า สู่ระดับ 209 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2022 ตลาดยาที่กำลังเฟื่องฟูของจีนได้ดึงดูดให้มีผู้ร่วมลงทุน (Venture Capital) และนักลงทุนมาลงทุนกันเป็นจำนวนมาก โดยในเดือน พ.ค. ปีที่แล้ว บริษัทยาสัญชาติอเมริกันอย่าง Eli Lilly ได้ทำข้อตกลงมูลค่า 255 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กับบริษัท Junshi Biosciences เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ Biotechnology ในเซี่ยงไฮ้ เพื่อร่วมมือกันในการพัฒนายาและการรักษาโรค COVID-19 ด้วยแอนติบอดี (Antibody Treatment) ซึ่งผลการทดลองระยะที่ 3 พบว่า แอนติบอดีช่วยลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากโรค COVID-19  ได้ถึง 70% ขณะที่บริษัท Biotech ที่เป็นรายใหญ่ของโลก ได้แก่ Amgen (AMGN), AstraZeneca (AZN), Pfizer, Merck, Novartis และ Gilead Sciences (GILD) ก็ต่างให้ความสนใจกับการลงทุนในบริษัท Biotechnology ของจีนเช่นเดียวกัน

ตัวอย่างเช่น ในเดือน ต.ค.ปีที่แล้ว บริษัท Amgen ได้ประกาศถือหุ้นมูลค่า 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ของบริษัท BeiGene ในปักกิ่ง ภายใต้เงื่อนไขข้อตกลงที่ว่า BeiGene จะขายยาสามตัวของ Amgen ในจีน และที่สำคัญกว่านั้นคือ BeiGene จะช่วย Amgen ในการพัฒนายารักษามะเร็งตัวใหม่กว่า 20 ชนิด

ถัดมาเป็นบริษัท Pfizer ที่ได้ทำข้อตกลงกับบริษัท CStone Pharmaceuticals ของจีน มูลค่า 480 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือน ก.ย.ปีที่แล้ว ในการถือหุ้นสัดส่วน 9.9% ของบริษัท CStone Pharmaceuticals ที่จดทะเบียนในฮ่องกง เพื่อได้รับสิทธิ์ในยารักษาโรคมะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immuno-oncology Medicines) รวมถึงใบอนุญาตพิเศษในการจำหน่ายยารักษามะเร็งของ CStone ในจีน และล่าสุดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัท Novartis ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือกับบริษัท BeiGene โดยจ่ายเงินล่วงหน้ากว่า 650 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อให้ได้สิทธิ์ในการพัฒนาและทางการค้ากับสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น สำหรับใช้ Tislelizumab ของ BeiGene ที่ได้รับการอนุมัติในการรักษาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Hodgkin และมะเร็งท่อปัสสาวะระยะลุกลาม ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าเงินลงทุนทั้งหมดจาก Novartis ที่จ่ายให้กับ BeiGene นั้น อาจสูงเกินกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ทั้งนี้ หากดูในแง่ของ Valuation ปัจจุบันของหุ้นกลุ่ม Biotechnology ในจีน ถือว่ายังอยูในระดับที่สมเหตุสมผล โดย Forward 12-Month PE of S&P China A300 – Pharmaceutical & Biotechnology Index (CSSPPHBX) ตัวแทนหุ้นกลุ่ม Biotechnology ในจีน อยู่ที่ระดับ 26.9 เท่า ซึ่งมีค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีอยู่ที่ประมาณ 25.2 เท่า (As of May 7, 2021)

จะเห็นได้ว่า Biotechnology ของจีน เป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง และช่วยผลักดันให้จีนสามารถบรรลุเป้าหมายการเป็นผู้นำนวัตกรรมในการผลิตยารักษาโรคได้ในอนาคต รวมถึงการสนับสนุนการลงทุนของภาครัฐฯ และการร่วมลงทุนของภาคเอกชนต่างประเทศ ประกอบกับราคาหุ้นที่ยังไม่แพง มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้แก่นักลงทุนได้อีกด้วย

===================================

บทความโดย : โดย วิภาดา ศุภกุลวณิชย์ AFPT™

Assistant Wealth Manager ธนาคารทิสโก้

บทความล่าสุด

แจกทริกตั้งเป้าหมายทางการเงินให้ปังไม่พังตั้งแต่ต้นปี

เมื่อเริ่มต้นปีใหม่ หลายคนมักตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาตัวเองในด้านต่าง ๆ รวมถึงเรื่องการเงิน เช่น การออมเงิน ลดหนี้ หรือเพิ่มรายได้ แต่บ่อยครั้งที่เป้าหมายเหล่านี้มักไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ ข้อมูลจาก Forbes พบว่ากว่า 80% ของการตั้งเป้าหมายช่วงปีใหม่มักล้มเหลวภายในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยทั้ง การตั้งเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน ขาดการวางแผนที่ดี และการลงมือทำที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถจัดการได้ถ้ารู้จักหลัก S.M.A.R.T. รวมถึงเพิ่ม 3 ทริกที่จะเพิ่มโอกาสความสำเร็จของเป้าหมาย

อ่านต่อ >>

ญี่ปุ่น ฟื้นจากเงินฝืดสู่เงินเฟ้อ สร้างภูมิต้านทานสงครามการค้า

เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปี 2025 พร้อมกับการพลิกจากภาวะเงินฝืดสู่ภาวะเงินเฟ้อ ในขณะที่ผลกระทบจากประเด็นการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ เป็นไปอย่างจำกัด จึงทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีโอกาสจะเป็นตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้ดีและมีความแข็งแกร่งในปี 2025 นี้

อ่านต่อ >>

ธ.ทิสโก้ เปิด 3 กลุ่มสินทรัพย์ โอกาสสร้างกำไรทะยาน ! ปี 68

Wealth Advisory ธนาคารทิสโก้ คาดนโยบาย โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หนุน 3 กลุ่มสินทรัพย์ราคาทะยาน ได้แก่ 1. กลุ่มอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ คือ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย บริการการสื่อสาร และกลุ่มสถาบันการเงิน 2. กลุ่มประเทศที่ราคาหุ้นขึ้นช่วงสงครามการค้า คือ อินเดีย เวียดนาม และญี่ปุ่น และ 3. กลุ่มสินทรัพย์ได้ประโยชน์จากนโยบายการเงิน – การคลัง คือ ตราสารหนี้ รีท และทองคำ พร้อมชี้ราคาหุ้นจีน น้ำมัน และพลังงานจ่อดิ่ง แนะหลีกเลี่ยงลงทุน

อ่านต่อ >>

แจกทริกตั้งเป้าหมายทางการเงินให้ปังไม่พังตั้งแต่ต้นปี

เมื่อเริ่มต้นปีใหม่ หลายคนมักตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาตัวเองในด้านต่าง ๆ รวมถึงเรื่องการเงิน เช่น การออมเงิน ลดหนี้ หรือเพิ่มรายได้ แต่บ่อยครั้งที่เป้าหมายเหล่านี้มักไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ ข้อมูลจาก Forbes พบว่ากว่า 80% ของการตั้งเป้าหมายช่วงปีใหม่มักล้มเหลวภายในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยทั้ง การตั้งเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน ขาดการวางแผนที่ดี และการลงมือทำที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถจัดการได้ถ้ารู้จักหลัก S.M.A.R.T. รวมถึงเพิ่ม 3 ทริกที่จะเพิ่มโอกาสความสำเร็จของเป้าหมาย

อ่านต่อ >>

ญี่ปุ่น ฟื้นจากเงินฝืดสู่เงินเฟ้อ สร้างภูมิต้านทานสงครามการค้า

เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปี 2025 พร้อมกับการพลิกจากภาวะเงินฝืดสู่ภาวะเงินเฟ้อ ในขณะที่ผลกระทบจากประเด็นการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ เป็นไปอย่างจำกัด จึงทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีโอกาสจะเป็นตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้ดีและมีความแข็งแกร่งในปี 2025 นี้

อ่านต่อ >>

ธ.ทิสโก้ เปิด 3 กลุ่มสินทรัพย์ โอกาสสร้างกำไรทะยาน ! ปี 68

Wealth Advisory ธนาคารทิสโก้ คาดนโยบาย โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หนุน 3 กลุ่มสินทรัพย์ราคาทะยาน ได้แก่ 1. กลุ่มอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ คือ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย บริการการสื่อสาร และกลุ่มสถาบันการเงิน 2. กลุ่มประเทศที่ราคาหุ้นขึ้นช่วงสงครามการค้า คือ อินเดีย เวียดนาม และญี่ปุ่น และ 3. กลุ่มสินทรัพย์ได้ประโยชน์จากนโยบายการเงิน – การคลัง คือ ตราสารหนี้ รีท และทองคำ พร้อมชี้ราคาหุ้นจีน น้ำมัน และพลังงานจ่อดิ่ง แนะหลีกเลี่ยงลงทุน

อ่านต่อ >>
Scroll to Top
ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น และนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้องและตรงกับความสนใจของท่าน โดยท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก นโยบายการใช้คุกกี้ กรุณากดยอมรับเพื่อยินยอมให้เราใช้คุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็น

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึกการตั้งค่า