มูลค่าตลาดของ Cloud Computing จะเติบโตอย่างโดดเด่น โดย Global X คาดว่า มูลค่าตลาดของ Cloud Computing จะเติบโตสูงถึง 20% ในปี 2022 และจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 16% CAGR ไปจนถึงปี 2026 จากการเติบโตดังกล่าว จึงกล่าวได้ว่า Cloud Computing เป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีการเติบโตสูงที่สุดของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยมีปัจจัยเร่งคือ การลงทุนในระบบ Cloud ของภาคธุรกิจ ซึ่ง Global X ประเมินว่าในปี 2026 ค่าใช้จ่ายในด้านการลงทุนใน Cloud จะแตะระดับ 45% ของค่าใช้จ่ายด้าน IT ของบริษัท เพิ่มขึ้นจากปี 2021 ที่อยู่เพียง 17% และGlobal X ยังบ่งชี้ว่า เทคโนโลยี Cloud Computing ยังอยู่ในวงจรของการเริ่มนำเอาไปปรับใช้ (Early Majority) ของ Adoption Stages
ในอดีตองค์กรมักจะเก็บข้อมูลสำคัญไว้บน Server ภายในบริษัท (On-site Server) แต่เมื่อโลกเข้าสู่ยุค “Data is the New Oil” ทำให้การเก็บข้อมูลแบบเดิมนั้นไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป การเก็บข้อมูลบนระบบ Cloud จะช่วยอำนวยความสะดวกและมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำลง ระบบที่จะถูกเปลี่ยนไปสู่การทำงานบน Cloud ได้แก่ 1.ระบบบัญชี จัดการสินค้าคงคลัง ทรัพยากรบุคคลผ่าน Enterprise Resource Planning (ERP) เช่น Oracle และ Workday 2.ระบบจัดการข้อมูลลูกค้าสำหรับงานขายและการตลาดผ่าน Customer Relationship Management (CRM) เช่น Salesforce และ 3.ระบบรักษาความปลอดภัยอย่าง Cybersecurity เช่น CrowdStrike และ Palo Alto ทำให้ Cloud Computing มีการเติบโตอย่างสูงในยุคของ IoT ทั้งภาคธุรกิจและภาคการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรม
กลุ่มบริษัทที่ทำธุรกิจซึ่งเกี่ยวข้องกับ Cloud สามารถแบ่งออกได้เป็น ผู้ให้บริการ Software (SaaS) และ Platform (PaaS) เช่น Oracle, Salesforce, DocuSign, Dropbox ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุด คิดเป็นกว่า 40% ของอุตสาหกรรม รองลงมาคือ ผู้ให้บริการการจัดเก็บข้อมูล Infrastructure (IaaS) คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 20% เช่น Microsoft, Amazon จะเห็นได้ว่าบางบริษัท เช่น Microsoft เป็นผู้ให้บริการทั้งระบบการจัดเก็บข้อมูลอย่าง Microsoft Azure และยังเป็นผู้ให้บริการด้าน Software อย่าง Office365 และ LinkedIn อีกด้วย
ในส่วนถัดมาจะเป็นผู้ให้บริการ Data center REITs คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 10% เช่น Equinix บริษัทเหล่านี้มีรายรับจากค่าเช่าพื้นที่โดยบริษัทมีหน้าที่ช่วยดูแลรักษาความปลอดภัยของ Server และข้อมูลให้มั่นใจว่าจะรองรับการใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง มีการระบายความร้อนได้อย่างเหมาะสม และส่วนสุดท้ายเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับส่วนประเภท Hardware ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนรายได้ 30% เช่น Routers, Network Switches เป็นต้น
ความโดดเด่นของโมเดลธุรกิจของ Cloud Computing คือ “Subscription Model” กล่าวคือ มีรายได้มาจากค่าบริการและค่าสมัครสมาชิก ก่อให้เกิดเป็นรายได้เกิดซ้ำ (Recurring Income) ตัวอย่างเช่น การสมัครสมาชิก Netflix หรือ Office 365 เป็นต้น เมื่อใดก็ตามที่ผู้ใช้ทำความคุ้นเคยกับการใช้บริการใดๆ แล้ว การเปลี่ยนไปใช้บริการจากเจ้าอื่นจะทำได้ยากขึ้น เพราะจะมีต้นทุนในการเปลี่ยน ถึงแม้จะมีการขึ้นค่าธรรมเนียมก็ตาม
สำหรับต้นทุนหลักของผู้ให้บริการ Cloud คือ การวิจัยและพัฒนา Software ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนของผู้พัฒนาไม่ได้เพิ่มในสัดส่วนเดียวกับยอดขายเหมือนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการผลิต ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของ Cloud Computing อยู่ระดับสูงถึงประมาณ 70% ทำให้บริษัทผู้นำ อย่าง Salesforce, IBM และ Oracle ล้วนแล้วแต่สามารถสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง และหากดูสัดส่วนรายได้ในกลุ่มของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่าง Amazon, Alibaba และ Microsoft จะพบว่าการเติบโตของส่วนธุรกิจ Cloud ของบริษัทเหล่านี้ยังสูงกว่าหมวดธุรกิจอื่น
การเติบโตของ Cloud Computing ในอนาคตจะเติบโตไปพร้อมกับเทคโนโลยีอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น การเข้ามาของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า เกม ไปจนถึง Metaverse ผ่านการเติบโตของ Future Trend อย่าง “Edge Computing” หรือ การประมวลผลที่ขอบของเครือข่าย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำหน้าที่เก็บข้อมูลและประมวลผลข้อมูลที่อยู่ใกล้กับแหล่งข้อมูลให้มากที่สุด
การใช้ Edge Computing จะช่วยให้อุปกรณ์ต่างๆ ที่มีระบบ AI อยู่ในอุปกรณ์นั้นสามารถประมวลผลข้อมูลในตัวได้เลย และจะส่งข้อมูลไปประมวลผลบน Cloud ลงลง ดังนั้น Edge Computing จึงช่วยลดปริมาณการใช้งาน Bandwidth และ Server ลงช่วยเสริมการทำงานของ Cloud และจะช่วยให้การประมวลผลด้วยความเร็วสูง เช่น รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ สามารถทำได้อย่างไร้รอยต่อ หากลองนึกภาพการขับรถยนต์อัตโนมัติที่ต้องอาศัยเซนเซอร์ในการตรวจจับสภาวะแวดล้อมหลายตัวแปร การประมวลผลไปไปยังระบบ Cloud อาจจะเกิดความหน่วงขึ้นจากข้อมูลปริมาณมหาศาล การใช้ Edge Computing ที่ประมวลผลได้รวดเร็วกว่าจะเข้ามามีบทบาทตรงส่วนนี้ ในขณะที่ข้อมูลที่ไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องประมวลผลทันที เช่น พฤติกรรมของผู้ขับขี่ ก็จะถูกนำไปเก็บในระบบ Cloud เช่นเดิม
จะเห็นได้ว่า การลงทุนในอุตสาหกรรม Cloud Computing มีความน่าสนใจ เนื่องจากวงจรของอุตสาหกรรมยังอยู่ในระยะที่กำลังเริ่มนำเอาไปปรับใช้ (Early Majority) ได้รับประโยชน์จากการปรับตัวขององค์กรทั่วโลกที่กำลังเข้าสู่ระบบ Cloud ซึ่งปัจจุบันองค์กรเหล่านั้นยังจัดเก็บข้อมูลไว้ภายในบริษัท ขณะที่โมเดลธุรกิจในลักษณะ Subscription Model ก่อให้เกิดรายได้ประจำ ซึ่งจะช่วยเพิ่มกระแสเงินสดให้กับบริษัทผู้พัฒนา และยังมีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับที่สูง นอกจากนี้การเข้ามาของ Edge Computing จะช่วยเสริมทัพการเติบโตให้กับ Cloud Computing เพิ่มขึ้นอีกในอนาคต สิ่งเหล่านี้สะท้อนไปยังการคาดการณ์การเติบโตที่สูงถึง 20% ในปี 2022 และ 16% CAGR จนถึงปี 2026 ทำให้ Cloud Computing เป็นหนึ่งใน Future Trend ที่มีการเติบโตสูงกว่ากลุ่มเทคโนโลยีอื่นอย่างเห็นได้ชัดเจน
===================================
บทความโดย : วัทธิกร กิจจาวิจิตร AFPT Wealth Manager ธนาคารทิสโก้