ปัจจุบันกระแสการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Megatrends หรือเรียกว่า “Megatrend Investment” ได้รับความนิยมอย่างก้าวกระโดดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจากภาพการเติบโตในระยะยาวที่ชัดเจนและผลตอบแทนการลงทุนที่น่าจูงใจ
ในอีกมุมหนึ่ง ชีวิตของเราก็เปรียบได้เป็นอีกหนึ่ง Megatrend สังเกตได้จากสื่อทั่วโลกให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องการวางแผนการเงินและการวางแผนการเกษียณเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก เพราะด้วยแนวโน้มอายุขัยเฉลี่ย (Life Expectancy) ของคนทั่วโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงอนาคต จากหลายปัจจัย อาทิ ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ และเทรนด์การรักสุขภาพที่มากขึ้น โดยคาดการณ์ว่าในปี ค.ศ. 2050 อายุขัยเฉลี่ยของประชากรทั่วโลกจะมีอายุอยู่ที่ 77 ปี โดยเพิ่มขึ้นจาก 66.20 ปี ในช่วงปี ค.ศ. 2000 ดังนั้น การวางแผนเกษียณแบบเดิมๆ จึงอาจจะไม่ตอบโจทย์ด้านความเพียงพอต่อการใช้ชีวิตที่ยาวนานขึ้น
โดยการวางแผนเกษียณที่เพียงพอ และครอบคลุมช่วงชีวิตที่ยาวนานขึ้นนั้น ควรวางแผนให้เป็นไปตามเทรนด์โลกแบบ “Megatrend Retirement Planning” ซึ่งควรให้ความสำคัญทั้งเรื่องของการปกป้องความมั่งคั่ง (Wealth Protection) แบบ Megatrend Protection และการเพิ่มมั่งคั่ง (Wealth Creation) ผ่านการลงทุนในรูปแบบ “Megatrends Investment”
สำหรับการเพิ่มความมั่งคั่งในรูปแบบ “Megatrends Investment” นั้นสามารถออกแบบพอร์ตการลงทุนโดยการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Megatrends อาทิ Innovative Healthcare, Esports, Cloud Computing และ Cyber Security เป็นต้น เพราะบริษัทในกลุ่ม Megatrends เหล่านี้เติบโตขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมมนุษย์ในแต่ละยุคสมัยและการพัฒนาขึ้นของเทศโนโลยี
ซึ่งพอร์ตการลงทุนสำหรับการวางแผนการเงินนี้เป็นการวางแผนการลงทุนในระยะยาวที่เหมาะกับการลงทุนใน Megatrends เป็นอย่างมาก เนื่องจากในแง่ของธุรกิจ บริษัทกลุ่มนี้อาจต้องใช้เวลาในการวิจัยและพัฒนาที่มากในช่วงแรกเพื่อให้สินค้าและบริการของบริษัทมีการใช้อย่างแพร่หลายและเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ส่งผลให้ในช่วงแรกราคาหุ้นอาจมีความผันผวนสูงในระยะสั้น แต่ด้วยความผันผวนนี้เองที่จะช่วยเปิดโอกาสให้กับนักลงทุนสามารถทยอยลงทุนในบริษัทและเติบโตไปพร้อมกับเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น และสุดท้ายแล้วการเติบโตเหล่านี้จะสะท้อนเข้ามาในผลประกอบการและราคาหุ้นของบริษัท
โดยเหตุการณ์นี้มีตัวอย่างให้เราเห็นเป็นที่ประจักษ์อย่างมากมาย อาทิ หุ้น Amazon และ Apple ที่เริ่มจากเป็นบริษัทเล็กๆและมีการปรับตัวเข้ากับรูปแบบพฤติกรรมของคน อีกทั้งมีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆอยู่ตลอดเวลาๆ ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในช่วงราว 10 ปีเท่านั้น โดย Amazon ปรับตัวเพิ่มจาก 180 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น เป็นกว่า 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น และหุ้นของ Apple ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากราว 15 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น เป็นราว 180 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตทบต้นเฉลี่ย (CAGR) +32.4% และ +28.2% ต่อปี ตามลำดับ
แต่อย่างไรก็ดี ถึงแม้เราจะมีการวางพอร์ตการลงทุนไว้อย่างดีเพื่อเป้าหมายการลงทุนในระยะยาวแล้ว เราก็จำเป็นที่จะต้องมีการดูแลและใส่ใจว่าพอร์ตการลงทุนนั้นจะยังสามารถเติบไปตามที่เราคาดหรือไม่ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่รวดเร็วอาจทำให้ Megatrends ในบางอุตสาหกรรมถูก Disrupt ได้ อย่างที่กำลังเกิดขึ้นในกลุ่ม E-commerce ซึ่งถูกผู้เล่นรายใหม่อย่างธุรกิจในกลุ่ม Social Media เข้ามาแย่งส่วนแบ่งการตลาดในปัจจุบัน อีกทั้งตลาด E-commerce ที่เริ่มอิ่มตัวจากการคาดการณ์ของ eMarketer โดยตลาด E-commerce มีอัตราการเติบโต +25.7% YOY ในปี 2020 และคาดว่าจะเติบโตเหลือเพียง +9.0% YOY ในปี 2025 จึงทำให้การลงทุนในธุรกิจที่โดน Disrupt อย่าง E-commerce อาจไม่ได้น่าสนใจอย่างในอดีต
จะเห็นได้ว่า การวางแผนการเงินโดยเอาหุ้นในกลุ่ม Megatrends เข้ามาผสมในพอร์ตการลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว จะสามารถช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุนโดยรวมได้ แต่เราก็จำเป็นที่จะต้องติดตามข้อมูล ตลอดจนปรับปรุงแผนการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้บรรลุเป้าหมายในอนาคตอย่างยั่งยืน
โดย วิศรุต จารุอนันตพงษ์ AFPT
Wealth Manager ธนาคารทิสโก้
———————————————————————————–