เมื่อตลาดการลงทุนอยู่ในภาวะ “Risk off” จากความเสี่ยงที่รุมเร้า ทั้งแรงกดดันจากดอกเบี้ยขาขึ้น เงินเฟ้อ และภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอตัวรุนแรงจนเข้าสู่ภาวะถดถอย…เราจะฝ่าวิกฤตนี้ ด้วยกองทุนแบบไหนดี !?!
เข้าสู่เดือน พ.ค. โลกยังคงถูกปัจจัยลบรุมเร้าจนทำให้สถานการณ์ลงทุนเข้าสู่โหมด “Risk Off” ซึ่งเต็มไปด้วยความเสี่ยง และมีโอกาสที่ตลาดจะผันผวนสูง โดยเป็นผลจากหลายปัจจัย ได้แก่
1.อัตราเงินเฟ้อ : ที่เพิ่มสูงขึ้นท่ามกลางสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังยืดเยื้อและไม่มีท่าทีที่จะสงบลง
2.ดอกเบี้ยขาขึ้น : โดยตลาดซื้อขายล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสะท้อนว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจขึ้นดอกเบี้ยไปจนถึง 2.75% ณ สิ้นปีนี้ และขึ้นต่อเนื่องไปหยุดที่ 3.3% กลางปีหน้า ซึ่งหากเป็นไปตามที่ตลาดคาด วัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้จะเป็นรอบที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่า 30 ปี และเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจฉุดเศรษฐกิจโลกให้ชะลอตัวอย่างรุนแรงจนเข้าสู่ภาวะถดถอย
3.ตลาดหุ้นไม่สดใส : ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) พบว่า ตลาดหุ้นมักตอบรับในเชิงลบในรอบที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว เช่นในปี 2511 ปี2516 ปี2523 และ ปี2527 ที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 2% ในช่วง 6 เดือน และทำให้ดัชนี S&P 500 เคลื่อนไหวในแดนลบตลอดช่วงการขึ้นดอกเบี้ย1
ด้วยปัจจัยลบทั้งหมดนี้ ทำให้ธนาคารทิสโก้ แนะนำให้นักลงทุนเน้นเลือกกองทุนในธีม Megatrends ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในระยะยาว และสามารถสร้างผลตอบแทนฝ่าวิกฤตที่จะเกิดขึ้นในระยะข้างหน้าได้
ธีมกองทุนเทคโนโลยีแห่งอนาคต...โตสดใสท่ามกลางเศรษฐกิจแย่
“เทคโนโลยีแห่งอนาคต คือธีมลงทุนที่สดใส ท่ามกลางภาพรวมการลงทุนที่แย่” โดย “คุณวรสินี เศรษฐบุตร” ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์กองทุน และสื่อสารการตลาด สายธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) อธิบายว่า สาเหตุที่ธีมเทคโนโลยีแห่งอนาคตน่าสนใจเป็นเพราะ ธีมการลงทุนนี้ได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นแล้วว่าสามารถผ่านวิกฤตต่างๆได้เป็นอย่างดี โดยจะเห็นได้ว่าหุ้นกลุ่ม Technology ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2555-2565) สามารถให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นสูงถึง 18.56% ต่อปี (วัดจากดัชนี MSCI World Information Technology Index) ซึ่งด้วยผลตอบแทนในระดับนี้จะทำให้เงินลงทุนมีโอกาสเติบโตเป็น 2 เท่าในราว 4 ปี2
โดยธนาคารทิสโก้แนะนำให้เลือกกองทุน 3 กลุ่มธุรกิจภายใต้ธีมเทคโนโลยีแห่งอนาคต ได้แก่ 1. กองทุนที่มีนโยบายลงทุนใน Metaverse ecosystem 2.กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cyber Security ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอาชญากรรมบนโลกไซเบอร์ 3.กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Cloud Computing ซึ่งเป็นธุรกิจเบื้องหลังความสำเร็จของ Metaverse ประกอบด้วย Software as a Service, Platform as a Service, Infrastructure as a Service
นวัตกรรมการแพทย์...โตสูงรับสังคมสูงวัย
“นวัตกรรมการแพทย์ กำลังจะทำให้พวกเราทุกคนมีอายุยืนจนน่าตกใจ และเมื่อมีอายุยืนขึ้น ความต้องการด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ก็จะสูงขึ้นอีก” โดยคุณวรสินี เล่าว่า ในอดีตค่าเฉลี่ยด้านอายุของคนไทยโดยภาพรวมไม่ได้มีอายุยืนนัก เห็นได้จากเมื่อปี 2493 อายุขัยเฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่เพียง 48 ปีเท่านั้น แต่ในปี 2565 คนไทยมีอายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 78 ปี ซึ่งนั่นเท่ากับว่าเราอาจมีอายุยืนกว่าคนรุ่นทวดถึง 30 ปี แถมในอนาคตเด็กรุ่นใหม่ก็อาจมีอายุขัยถึง 100 ปี3 และไม่ใช่แค่เพียงในประเทศไทยเท่านั้น ทั่วโลกเองก็เผชิญสถานการณ์เดียวกัน … หลายประเทศกำลังมีจำนวนประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากนวัตกรรมทางการแพทย์ที่พัฒนาก้าวล้ำ
ดังนั้นธุรกิจด้าน Healthcare ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2555-2565) จึงยิ่งทวีความสำคัญ เป็นที่ต้องการของประชากรโลก และด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ธุรกิจดังกล่าวสามารถให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นที่สูงถึง 13.85% ต่อปี4 ไม่ใช่แค่เพียงให้ผลตอบแทนที่สูงในอดีตเท่านั้น “คุณวรสินี” มองว่าธุรกิจด้านนวัตกรรมการแพทย์ จะสร้างการเติบโตที่ดีในระยะยาวอีก 5-10 ปีข้างหน้าด้วย เพราะเมื่อโลกเข้าสู่ยุคสังคมสูงวัยความต้องการทางนวัตกรรมการแพทย์ ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอีกอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก
โดยธนาคารทิสโก้แนะนำให้เลือกกองทุน 2 กลุ่มธุรกิจภายใต้ธีมนวัตกรรมการแพทย์ ได้แก่ 1. กองทุนที่เน้นลงทุนธุรกิจไบโอเทคโนโลยี (Biotechnology) ซึ่งเป็นธุรกิจวิจัยและพัฒนายา-วัคซีนรักษารวมถึงป้องกันโรค 2. กองทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจ Digital Health ที่่เกี่ยวข้องกับบริการ Telehealth การใช้ระบบ Cloud ในการจัดเก็บข้อมูลผู้ป่วย รวมถึงบริษัทที่ผลิตเครื่องมือการตรวจโรค หุ่นยนต์ผ่าตัดและอุปกรณ์ทางการแพทย์สมัยใหม่ประเภทต่างๆ
จีน...ประเทศดาวเด่นแห่งเอเชีย
“จีนโตต่อได้ แต่ต้องเลือกลงทุนในธุรกิจเมกะเทรนด์” แม้เศรษฐกิจจีนจะมีแนวโน้มชะลอตัวลง ตามแนวทางการควบคุมการระบาดที่เข้มงวด (Zero-Covid policy) แต่ประเทศจีนก็ยังน่าสนใจ เนื่องจากธนาคารกลางของจีน (PBoC) เอง ก็ได้มีการกลับมาผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม โดยลดสัดส่วนเงินกันสำรอง RRR และลดอัตราดอกเบิ้ย LPR ลง ขณะที่ตลาดหุ้นก็ดูเหมือนจะตอบรับต่อประเด็นการเพิ่มกฏระเบียบไปค่อนข้างมากแล้ว ดังนั้นโดยภาพรวมจึงยังสามารถลงทุนได้ โดยเฉพาะการเลือกกองทุนที่เน้นกลุ่มธุรกิจเมกะเทรนด์ในจีน5
โดยธนาคารทิสโก้ แนะนำให้เน้นเลือกองทุนที่มีนโยบายในลงทุนใน 5 เมกะเทรนด์ของจีน ได้แก่ 1. ค้าขายออนไลน์ 2.ธุรกิจเทคโนโลยี 3.ธุรกิจนวัตกรรมการแพทย์ 4.ธุรกิจพลังงานสะอาด 5.ยานพาหนะไฟฟ้า เพราะมีอนาคตสดใส ในด้านความต้องการใช้ของผู้บริโภค
หากคุณสนใจกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในแบบที่เราแนะนำ สามารถคลิกลิงก์ด้านล่าง เพื่อติดตามรายละเอียดกองทุนรวมที่เราคัดสรร หรือสามารถกรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ
บทความโดย : คุณวรสินี เศรษฐบุตร ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์กองทุน
และสื่อสารการตลาด สายธุรกิจธนบดี ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน)
—————————————————
ที่มา
1. “ทิสโก้คาด เศรษฐกิจโลกเสี่ยงเข้าสู่ “ภาวะถดถอย” มากขึ้น”, ข่าวประชาสัมพันธ์, 27 Apr 2022 (https://www.tisco.co.th/th/news/personal/2022-04-27-tisco-expect-the-world-economy-to-be-recession.html)
2. MSCI World Information Technology Index, (https://www.msci.com/documents/10199/69aaf9fd-d91d-4505-a877-4b1ad70ee855)
3. สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย:TDRI
4. MSCI World Healthcare Index (https://www.msci.com/documents/10199/c41a73d1-9037-4dbd-a175-703d3bb77ae6)
5. TISCO Investment Portfolio Strategy, May 2022 (https://www.tiscowealth.com/tips.html)
=======================================================
หากคุณสนใจกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในแบบที่เราแนะนำ สามารถคลิกลิงก์ด้านล่าง เพื่อติดตามรายละเอียดกองทุนรวมที่เราคัดสรร หรือสามารถกรอกข้อมูลเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ