
1 ใน 6 คือตัวเลขของสัดส่วนของผู้เสียชีวิตทั่วโลกที่มีสาเหตุมาจาก “โรคมะเร็ง” ในปี 2020 ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่าจำนวนผู้ป่วยมะเร็งทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นกว่า 77% ในอีก 25 ปีข้างหน้า สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติระบุว่ามีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่เพิ่มขึ้นราว 140,000 คนต่อปี และมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งประมาณ 83,000 คนต่อปี หรือเฉลี่ยวันละ 230 คน โดยเฉพาะมะเร็งตับที่ไทยมีอัตราการเสียชีวิตสูงเป็นอันดับ 4 ของโลก
แม้ว่ามะเร็งจะสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย แต่สามารถป้องกันเบื้องต้นได้โดยใช้หลัก 5 ทำ 5 ไม่ จากทางสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. แบ่งเป็น 5 กิจกรรมที่ควรทำ ได้แก่ 1.ออกกำลังกายประจำ 2.ทำจิตแจ่มใส 3.กินผักและผลไม้ 4.กินอาหารให้หลากหลาย 5.ตรวจร่างการเป็นประจำ และ 5 กิจกรรมที่ไม่ควรทำ ได้แก่ 1.ไม่สูบบุหรี่ 2.ไม่เปลี่ยนคู่นอน 3.ไม่ดื่มสุราและแอลกอฮอล์ 4.ไม่ตากแดดจ้า 5.ไม่กินปลาน้ำจืดดิบๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสามารถปรับเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้
แต่ถึงเราลดปัจจัยเสี่ยงแล้วแต่ยังไม่สามารถรับประกันได้ว่าเราจะไม่เป็นมะเร็งเลย ทำให้การทำประกันมะเร็งยังเป็นสิ่งมีสำคัญอย่างมาก แต่แม้ประกันมะเร็งจะมีความสำคัญมากแต่หลายคนยังมีความเข้าใจผิด ทำให้พลาดโอกาสในการสร้างความคุ้มครองที่เพียงพอ โดย 3 ประเด็นยอดฮิตที่มักเข้าใจผิดสำหรับประกันมะเร็ง ได้แก่
ประเด็นที่ 1 สุขภาพแข็งแรงดี ยังไม่จำเป็นต้องทำประกัน
หลายคนมองว่าถ้าสุขภาพแข็งแรง ไม่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง ก็น่าจะไม่มีความเสี่ยง แต่ในความเป็นจริง มะเร็งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่จำเป็นต้องมีพันธุกรรมเกี่ยวข้อง โดยปัจจัยเสี่ยงอาจจะมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและสิ่งแวดล้อม เช่น อาหารที่มีสารก่อมะเร็ง มลพิษ และความเครียด นอกจากนี้ การทำประกันมะเร็งมักมีระยะเวลารอคอย (Waiting Period) 60-90 วัน ก่อนที่ความคุ้มครองจะเริ่มต้น ดังนั้นควรทำประกันขณะที่ยังสุขภาพดี เพราะหากตรวจพบโรคแล้วอาจจะถูกบริษัทประกันปฏิเสธการรับประกันหรืออาจต้องจ่ายเบี้ยแพงขึ้นมาก
ประเด็นที่ 2 รอให้อายุมากขึ้นก่อนค่อยทำประกัน
คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่ามะเร็งเป็นโรคของผู้สูงอายุ จึงมองว่าการทำประกันตั้งแต่อายุน้อยยังไม่จำเป็น อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก WHO ระบุว่าช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อัตราผู้ป่วยมะเร็งในกลุ่มอายุ 20-40 ปีเพิ่มขึ้นทั่วโลก เนื่องจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป เช่น การนั่งทำงานเป็นเวลานาน อาหารที่มีไขมันสูง และความเครียดสะสม นอกจากนี้ การเริ่มทำประกันมะเร็งตั้งแต่อายุยังน้อยจะทำให้เบี้ยประกันจะถูกกว่ามาก และประกันมะเร็งบางแบบยังมีเบี้ยประกันคงที่ตลอดชีวิต ทำให้ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในอนาคต
ประเด็นที่ 3 คิดว่าประกันสุขภาพทั่วไปก็น่าจะเพียงพอ
แม้ว่าประกันสุขภาพทั่วไปจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษา เช่น ค่าห้อง ค่าผ่าตัด ค่าเคมีบำบัด และค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นจริง แต่ประกันสุขภาพมักมีขีดจำกัดเรื่องวงเงินความคุ้มครองและประเภทการรักษาที่ครอบคลุม ขณะที่ ประกันมะเร็งให้ความคุ้มครองแบบเงินก้อน (Lumpsum) ซึ่งจ่ายเงินให้ทันทีเมื่อตรวจพบมะเร็ง ทำให้สามารถนำเงินไปใช้ได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทางไปพบแพทย์ ค่าดูแลตัวเอง หรือแม้กระทั่งค่าครองชีพในช่วงที่ต้องหยุดงานเพื่อรักษาตัว นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเลือกใช้เทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย ซึ่งบางครั้งอาจไม่อยู่ในความคุ้มครองของประกันสุขภาพปกติ
อย่างไรก็ดี ประกันมะเร็งในตลาดมีเงื่อนไขและความคุ้มครองที่หลากหลาย ซึ่งทาง ธนาคารทิสโก้ มองว่าเกณฑ์การเลือกประกันมะเร็งควรที่จะมี 3 ลักษณะเด่น ได้แก่ 1.จ่ายทุนประกันเป็นเงินก้อน(Lupmsum) เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง ทั้งนี้เพื่อให้สามารถเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมได้เอง 2.มีวงเงินสำหรับการรักษาต่อเนื่อง เพราะการรักษามะเร็งต้องใช้ระยะเวลาและค่าใช้จ่ายอื่นเพิ่มเติมทั้ง ค่าฉายรังสี ค่าตรวจวินิจฉัยซ้ำรวมถึงค่าเดินทาง ซึ่งคิดรวมเป็นจำนวนเงินไม่น้อย และ 3 การคิดค่าเบี้ยประกันคงที่และไม่เพิ่มขึ้นตามช่วงอายุ ทำให้ค่าเบี้ยประกันในระยะยาวถูกลงหากวางแผนทำประกันมะเร็งตั้งแต่อายุยังน้อย
จะเห็นว่าปัจจุบันสิ่งแวดล้อมและการดำเนินชีวิตมีส่วนทำให้โรคมะเร็งไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ทั้งยังสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะอายุน้อยหรือมาก สุขภาพดีแค่ไหนก็ตาม แม้ว่าจะมีการป้องกันและเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรค แต่การมีประกันมะเร็งก็ยังเป็นเหมือนกองหลังทางการเงินเพื่อช่วยสร้างรากฐานทางการเงินและสุขภาพที่มั่นคงได้ดี ไม่ให้กระทบต่อสถานทางการเงินของชีวิตและครอบครัว
Source : WHO, Hfocus, TISCO ADVISORY
บทความโดย ยศรวี จงแสงทอง
AFPT™ Senior Wealth Manager ธนาคารทิสโก้