ธุรกิจ Telemedicine หรือ ผู้ให้บริการหาหมอจากทางไกลผ่านระบบ Video Conference ถือเป็นธุรกิจนวัตกรรมการแพทย์ (Innovative Healthcare) กลุ่มหนึ่งที่สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดท่ามกลางวิกฤต COVID-19 โดยในปี 2020 ที่ผ่านมา ตลาด Telemedicine ทั่วโลกเติบโตขึ้นถึง 35% สวนทางกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ในขณะที่ Penetration Rate ของตลาด Telemedicine ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างสหรัฐฯ นั้น ก็ได้พุ่งสูงขึ้นจาก 0.24% ในช่วงต้นปี 2020 ขึ้นมามีสัดส่วนเป็น 7% ของการพบแพทย์ทั้งหมดภายในระยะเวลาเพียงแค่หนึ่งปี
Telemedicine ได้เข้ามา “แก้ปัญหา” และ “สร้างคุณค่า” ที่สำคัญหลายประการต่อผู้ใช้งาน บุคลากรทางแพทย์ และระบบสาธารณสุข โดยประโยชน์หลักของ Telemedicine ก็คือ ความสะดวกสบาย เนื่องจากคนไข้สามารถเข้ารับคำปรึกษาอาการต่างๆ กับแพทย์ผ่านสมาร์ทโฟนหรือแทบเล็ตได้ทันที โดยคนไข้ส่วนใหญ่ที่เข้ามาใช้บริการ Telemedicine นั้น มักจะเป็น “ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง” (Chronic Disease) ยกตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคที่เกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นกลุ่มโรคที่ต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาที่ต่อเนื่องยาวนาน ต้องมีการติดตามอาการและรับคำแนะนำจากแพทย์อย่างใกล้ชิด ตลอดจนควบคุมไม่ให้มีการเกิดภาวะแทรกซ้อนในบางกรณี การใช้เทคโนโลยี Telemedicine จะช่วยให้แพทย์สามารถดูแลอาการคนไข้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนสามารถลด Traffic ของผู้ป่วยในโรงพยาบาลลงได้
นอกจากนี้ การใช้ Telemedicine ยังช่วยประหยัดเวลาและต้นทุนในการเดินทางอีกด้วย จากงานวิจัยของ The American Journal of Managed Care ระบุว่า คนอเมริกันใช้เวลาในการเดินทางไปพบแพทย์และเวลาในการนั่งรอเรียกคิวที่โรงพยาบาลโดยเฉลี่ยรวมกันมากถึง 1 ชั่วโมง 40 นาที ซึ่งการใช้บริการระบบ Telemedicine จะช่วยตัดต้นทุนทางด้านเวลาดังกล่าวนี้ออกไป ให้เหลือเพียงเวลาที่คนไข้ใช้ไปกับการพบแพทย์ ซึ่งใช้เวลาโดยเฉลี่ยเพียงแค่ 20 นาทีเท่านั้น ในขณะที่ประเทศที่มีพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ขนาดใหญ่อย่างเช่น สหรัฐฯ หรือจีน การใช้บริการแพลตฟอร์ม Telemedicine ก็ช่วยให้ผู้คนในเขตชนบทสามารถเข้าถึงบุคลากรทางการแพทย์ที่มีอยู่อย่างจำกัดได้ง่ายและสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องเดินทาง
จากงานวิจัยของ Mckinsey ในช่วงต้นปี 2021 ชี้ว่า จำนวนผู้ใช้งาน Telemedicine ในสหรัฐฯ ได้พุ่งสูงขึ้น 38 เท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิด COVID-19 และทรงตัวในระดับดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในสหรัฐฯ จะอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้แล้ว สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างถาวรในการหันมาใช้บริการ Telemedicine มากขึ้นของคนอเมริกัน ซึ่งผลสำรวจจาก Mckinsey ยังชี้ว่า แพทย์และคนไข้มีระดับความพึงพอใจจากการใช้งาน Telemedicine ที่สูงถึง 64% และ 74% ตามลำดับ และมีแนวโน้มที่จะใช้บริการแพลตฟอร์มดังกล่าวต่อไปในอนาคต
ปัจจุบันการใช้บริการ Telemedicine ยังอยู่เพียงในระยะเริ่มต้นเท่านั้นและยังมีโอกาสในการเติบโตขึ้นอีกมากในอนาคต ภายใต้แรงขับเคลื่อนจากสอง Megatrends ทั้งการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมและสังคมผู้สูงอายุที่เกิดขึ้นทั่วโลก จากงานวิจัยของ Grand View Research บริษัทที่ปรึกษาและวิจัยตลาดในสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าขนาดตลาด Telemedicine ทั่วโลกจะเติบโตขึ้นในอัตรา 22.4% โดยเฉลี่ยแบบทบต้น ตั้งแต่ปี 2021 ถึงปี 2028 หรือจากระดับ 7.27 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นไปแตะระดับ 2.98 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ การยอมรับในการใช้ Telemedicine จากผู้ใช้งานที่มากขึ้น ตลอดจนการพัฒนาคุณภาพของบริการ Telemedicine ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในแง่ของการลงทุนแล้ว หุ้นกลุ่ม Telemedicine ถือเป็น “หุ้นเติบโต” (Growth Stocks) ที่บรรดานักลงทุนทั่วโลกต่างจับตามอง อีกทั้งยังเป็นหุ้นที่กองทุนชั้นนำระดับโลกที่ลงทุนหุ้นกลุ่มนวัตกรรมทางการแพทย์ (Innovative Healthcare) ชื่นชอบอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น กองทุน Credit Suisse (Lux) Digital Health Equity Fund, ARK Genomic Revolution ETF และ Baillie Gifford Worldwide Health Innovation Fund ที่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Telemedicine สูงติด 10 อันดับแรกของกองทุน
เสน่ห์ของหุ้นกลุ่ม Telemedicine อยู่ที่อัตราการเติบโตของรายได้ที่สูงอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ใช้งาน มีการรับรู้รายได้ที่สม่ำเสมอ เป็นลักษณะแบบรายได้ประจำ (Recurring Income) จากการเก็บเงินลูกค้าแบบ Subscription เป็นรายเดือนหรือรายปี ยกตัวอย่างเช่น หุ้น Teladoc ที่ถือเป็นผู้นำของอุตสาหกรรม Telemedicine ในสหรัฐฯ ที่มีอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ยทบต้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่สูงถึง 69.84% ต่อปี ทำให้มูลค่าตลาด (Market Capitalization) ของบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 770% ภายในช่วง 5 ปี โดยปัจจุบัน Teladoc มี Market Cap. ที่สูงถึง 2.34 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 7.72 แสนล้านบาท
ท่ามกลางการแพร่ระบาดของ COVID-19 รอบใหม่ที่เกิดขึ้นอีกครั้งทั่วโลก ซึ่งอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไป ธุรกิจ Telemedicine เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของหุ้นกลุ่ม “Innovative Healthcare” ที่ได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถที่จะเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดตาม Megatrends สวนทางกับหลายกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการฟื้นตัว ทำให้เรามองว่าหุ้นกลุ่ม “Innovative Healthcare” จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกเพิ่มขึ้นอีกครั้งและทำให้ราคาหุ้นสามารถ Outperform การลงทุนในอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้ในระยะยาว
========================================
เผยแพร่ครั้งแรกที่คอลัมน์ Make Money Make Healthy ใน TNN