ลงทุนตราสารหนี้ในจังหวะ Low Risk High Return

บทความการลงทุนเชิงลึก ที่คุณไม่ควรพลาด

1690451920334

“High Risk High Return” คือวลีสุดคลาสสิคที่นักลงทุนในตลาดยึดถือเป็นแนวทางในการลงทุนมาอย่างแพร่หลายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนจะต้องยอมลงทุนสินทรัพย์ที่เสี่ยงขึ้น เมื่อคาดหวังผลตอบแทนที่มากขึ้น แต่แท้จริงแล้ว ความเชื่อดังกล่าวอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป ยกตัวอย่างเช่นสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งเป็นจังหวะที่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำอย่าง “ตราสารหนี้สหรัฐฯ” ให้ผลตอบแทนที่สูง ถือเป็นการลงทุนแบบ “Low Risk High Return” ที่น่าสนใจ ด้วยเหตุผล 3 ข้อดังต่อไปนี้

 

ตราสารหนี้สหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนแทนสูงกว่า ตราสารหนี้ของไทย

เหตุผลเนื่องมาจากอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯได้ปรับตัวขึ้นมาเร็วสุดในรอบกว่า 40 ปีจนอยู่ในระดับที่ “สูงกว่า 5%” ทำให้ผลตอบแทนของสินทรัพย์เสี่ยงต่ำในสหรัฐฯ เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้บริษัทเอกชนคุณภาพดี กลับมาอยู่ในระดับที่สูงอีกครั้งในรอบกว่า 20 ปี สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูงขึ้น หากเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยซึ่งอยู่ที่เพียงแค่ 2% แล้ว ผลตอบแทนของบรรดาสินทรัพย์เสี่ยงต่ำในไทยจึงต่ำกว่าฝั่งสหรัฐฯอย่างชัดเจน

อ้างอิงจากตัวเลขผลตอบแทน (Yield) ของตราสารหนี้สหรัฐฯในปัจจุบัน ทั้งตราสารตลาดเงิน (Money Market Instruments) ที่ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับสูงถึง 5.2% ในขณะที่พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี (US 10 year Treasury Bond) ที่ให้ผลตอบแทน 3.8% – 4.0% ถือเป็นผลตอบแทนที่สูงกว่าตราสารหนี้ในไทยอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นตราสารตลาดเงินและพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ที่ให้ผลตอบแทนอยู่ในกรอบเพียงแค่ 1.9% – 2.6% สะท้อนให้เห็นว่าการลงทุนตราสารหนี้สหรัฐฯมีโอกาสได้รับ Yield ที่สูงกว่าตราสารหนี้ของไทย

 

ตราสารหนี้สหรัฐฯ น่าสนใจกว่า หุ้นสหรัฐฯ

นับตั้งแต่ต้นปี 2023 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P500) ได้ปรับตัวขึ้นมาอย่างโดดเด่นถึง 18% นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่จากกระแสของ AI (Artificial Intelligence) รวมถึงความคาดหวังว่า Fed จะยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงภายในปีนี้ ส่งผลให้ Valuation ของตลาดหุ้นสหรัฐฯขึ้นมาซื้อขายที่ระดับ PE ที่สูงถึง 21.7 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงฟองสบู่ Dot-com ปี 2000 และช่วง Pre-COVID ปี 2019 ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น ซึ่งสะท้อนผ่านค่า Earnings yield อยู่ในระดับเพียงแค่ราว 4.6% เท่านั้น หากนำตัวเลขดังกล่าวไปเปรียบเทียบกับ ผลตอบแทนของตั๋วเงินคลังสหรัฐฯอายุ 3 เดือน (3 month Treasury Bill) ที่มักถูกใช้เป็นตัวแทนของการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 5.2% แล้ว จะเห็นได้ว่า การลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐฯให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในรอบ 23 ปี นับตั้งแต่วิกฤต Dot-com ปี 2000 โดยที่นักลงทุนไม่จำเป็นต้องรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเลย  

 

ตราสารหนี้สหรัฐฯ มักจะทำกำไรได้ดีในภาวะเศรษฐกิจถดถอย

เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย นักลงทุนมักมีการปรับพอร์ตการลงทุนด้วยการ “ลดสินทรัพย์เสี่ยง เพิ่มสินทรัพย์ปลอดภัย” ส่งผลให้เกิดการโยกย้ายเม็ดเงินเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างตราสารหนี้สหรัฐฯมากขึ้นและทำให้ราคาตราสารหนี้สหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้นจนสร้างกำไรจากส่วนต่างราคา (Capital gain) ให้กับนักลงทุน

ในอดีตตราสารหนี้สหรัฐฯมักจะสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวกในช่วงที่เกิด Recession ได้เสมอ ยกตัวอย่างเช่น ในอดีตช่วงวิกฤต Dotcom ปี 2000 วิกฤต Subprime ปี 2008 และวิกฤต COVID-19 ปี 2020 ที่การลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐฯ ให้ผลตอบแทน 6.5% 7.5% และ 3% ตามลำดับ ทั้งนี้ หากในอนาคตสหรัฐฯเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย จนกดดันให้ Fed ต้องกลับมาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้ง เราคาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรสหรัฐฯก็น่าจะมีทิศทางที่สอดคล้องกับสถิติในอดีต ยกตัวอย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ TISCOESU คาดการณ์ว่ามีโอกาสสร้างผลตอบแทนรวม (Total return) ได้ราว 9% ในกรณีที่เกิดเศรษฐกิจถดถอยแบบไม่รุนแรง (Soft Landing) และ 16% หากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยแบบรุนแรง (Hard Landing)

จะเห็นได้ว่า ถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ เน้นการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย ตราสารหนี้สหรัฐฯเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าตราสารหนี้ไทย ถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและกำลังอยากเข้าไปซื้อหุ้นสหรัฐฯที่กำลังพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงด้วยกระแส AI ตราสารหนี้สหรัฐฯเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าความเสี่ยงกว่า ณ ระดับราคาปัจจุบัน และถ้าคุณกำลังกังวลกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ตราสารหนี้สหรัฐฯคือสินทรัพย์ที่คุณต้องถือไว้ในพอร์ตการลงทุน ดังนั้น นี่คือจังหวะเวลาในการลงทุนแบบ “Low Risk High Return” ซึ่งมักเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งในรอบกว่าทศวรรษที่นักลงทุนต้องไม่พลาด   

 

บทความโดย ภาคภูมิ พีรยวัฒนา AFPT™

Wealth Manager ธนาคารทิสโก้

เผยแพร่ครั้งแรก TNN Wealth

บทความล่าสุด

แจกทริกตั้งเป้าหมายทางการเงินให้ปังไม่พังตั้งแต่ต้นปี

เมื่อเริ่มต้นปีใหม่ หลายคนมักตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาตัวเองในด้านต่าง ๆ รวมถึงเรื่องการเงิน เช่น การออมเงิน ลดหนี้ หรือเพิ่มรายได้ แต่บ่อยครั้งที่เป้าหมายเหล่านี้มักไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ ข้อมูลจาก Forbes พบว่ากว่า 80% ของการตั้งเป้าหมายช่วงปีใหม่มักล้มเหลวภายในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยทั้ง การตั้งเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน ขาดการวางแผนที่ดี และการลงมือทำที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถจัดการได้ถ้ารู้จักหลัก S.M.A.R.T. รวมถึงเพิ่ม 3 ทริกที่จะเพิ่มโอกาสความสำเร็จของเป้าหมาย

อ่านต่อ >>

ญี่ปุ่น ฟื้นจากเงินฝืดสู่เงินเฟ้อ สร้างภูมิต้านทานสงครามการค้า

เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปี 2025 พร้อมกับการพลิกจากภาวะเงินฝืดสู่ภาวะเงินเฟ้อ ในขณะที่ผลกระทบจากประเด็นการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ เป็นไปอย่างจำกัด จึงทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีโอกาสจะเป็นตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้ดีและมีความแข็งแกร่งในปี 2025 นี้

อ่านต่อ >>

ธ.ทิสโก้ เปิด 3 กลุ่มสินทรัพย์ โอกาสสร้างกำไรทะยาน ! ปี 68

Wealth Advisory ธนาคารทิสโก้ คาดนโยบาย โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หนุน 3 กลุ่มสินทรัพย์ราคาทะยาน ได้แก่ 1. กลุ่มอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ คือ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย บริการการสื่อสาร และกลุ่มสถาบันการเงิน 2. กลุ่มประเทศที่ราคาหุ้นขึ้นช่วงสงครามการค้า คือ อินเดีย เวียดนาม และญี่ปุ่น และ 3. กลุ่มสินทรัพย์ได้ประโยชน์จากนโยบายการเงิน – การคลัง คือ ตราสารหนี้ รีท และทองคำ พร้อมชี้ราคาหุ้นจีน น้ำมัน และพลังงานจ่อดิ่ง แนะหลีกเลี่ยงลงทุน

อ่านต่อ >>

แจกทริกตั้งเป้าหมายทางการเงินให้ปังไม่พังตั้งแต่ต้นปี

เมื่อเริ่มต้นปีใหม่ หลายคนมักตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาตัวเองในด้านต่าง ๆ รวมถึงเรื่องการเงิน เช่น การออมเงิน ลดหนี้ หรือเพิ่มรายได้ แต่บ่อยครั้งที่เป้าหมายเหล่านี้มักไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ ข้อมูลจาก Forbes พบว่ากว่า 80% ของการตั้งเป้าหมายช่วงปีใหม่มักล้มเหลวภายในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยทั้ง การตั้งเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน ขาดการวางแผนที่ดี และการลงมือทำที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถจัดการได้ถ้ารู้จักหลัก S.M.A.R.T. รวมถึงเพิ่ม 3 ทริกที่จะเพิ่มโอกาสความสำเร็จของเป้าหมาย

อ่านต่อ >>

ญี่ปุ่น ฟื้นจากเงินฝืดสู่เงินเฟ้อ สร้างภูมิต้านทานสงครามการค้า

เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปี 2025 พร้อมกับการพลิกจากภาวะเงินฝืดสู่ภาวะเงินเฟ้อ ในขณะที่ผลกระทบจากประเด็นการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ เป็นไปอย่างจำกัด จึงทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีโอกาสจะเป็นตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้ดีและมีความแข็งแกร่งในปี 2025 นี้

อ่านต่อ >>

ธ.ทิสโก้ เปิด 3 กลุ่มสินทรัพย์ โอกาสสร้างกำไรทะยาน ! ปี 68

Wealth Advisory ธนาคารทิสโก้ คาดนโยบาย โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หนุน 3 กลุ่มสินทรัพย์ราคาทะยาน ได้แก่ 1. กลุ่มอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ คือ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย บริการการสื่อสาร และกลุ่มสถาบันการเงิน 2. กลุ่มประเทศที่ราคาหุ้นขึ้นช่วงสงครามการค้า คือ อินเดีย เวียดนาม และญี่ปุ่น และ 3. กลุ่มสินทรัพย์ได้ประโยชน์จากนโยบายการเงิน – การคลัง คือ ตราสารหนี้ รีท และทองคำ พร้อมชี้ราคาหุ้นจีน น้ำมัน และพลังงานจ่อดิ่ง แนะหลีกเลี่ยงลงทุน

อ่านต่อ >>
Scroll to Top
ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น และนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้องและตรงกับความสนใจของท่าน โดยท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก นโยบายการใช้คุกกี้ กรุณากดยอมรับเพื่อยินยอมให้เราใช้คุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็น

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึกการตั้งค่า