หลังจากที่ Microsoft ประสบความสำเร็จกับการนำ ChatGPT เข้ามาใส่ใน Bing บริการ Search Engine ของบริษัทจนส่งผลให้ Bing ที่ดูเหมือนแทบจะไม่มีผู้ใช้บริการมากนักกลับพุ่งทะยานขึ้นเป็น Search Engine ที่มียอดผู้ใช้งานเป็นอันดับหนึ่งของโลกในบางช่วงเวลา และยังถึงกับมีข่าวว่า Samsung บริษัทที่มีส่วนแบ่งการตลาดยอดขายมือถือสูงที่สุดในโลก อาจจะนำบริการ Google Search ออกจากมือถือของ Samsung และแทนที่ด้วยบริการ Bing ของ Microsoft จนส่งผลกดดันราคาหุ้น Alphabet บริษัทแม่ของ Google ปรับตัวลดลงถึง -2.5% ในวันเดียว (17 เม.ย. 2023) หลังจากมีข่าวดังกล่าว จนดูเหมือนกับว่าบริการ Google Search ซึ่งก่อนหน้านี้เป็น Search Engine อันดับหนึ่งของโลกที่ยากจะมีบริการใดมาทดแทนกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่
ดังนั้นจึงถือว่าการลงทุนในบริษัท Open AI เจ้าของ ChatGPT ด้วยเงินมูลค่ากว่า $13 billion ของ Microsoft มีความคุ้มค่า และ AI ก็เป็นสิ่งที่ Microsoft คาดหวังว่าจะมาสร้างการเติบโตรายได้อย่างมหาศาลให้กับบริษัท เหมือนที่ครั้งนึงการมาถึงของ Cloud Computing ได้เปลี่ยนให้ Microsoft จากบริษัทขาย Software ธรรมดาที่กำลังจะถูกแทนที่กลายมาเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่เบียดแย่งตำแหน่งบริษัทที่มี Market Cap ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯกับ Apple ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
โดยราคาหุ้น Microsoft ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้วกว่า 31% นับตั้งแต่ต้นปี (ข้อมูลจนถึงวันที่ 17 พ.ค. 2023)
หันกลับมามองที่ฝั่ง Google ซึ่งพยายยามเปิดตัว Bard AI เพื่อแข่งกับ ChatGPT ของ Microsoft ดูเหมือนว่าจะเพลี่ยงพล้ำไปในตอนแรกเนื่องจากในการเปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 ก.พ. ที่ผ่านมา สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนเป็นอย่างมากเพราะข้อมูลที่ Bard AI ให้กับผู้ทดลองใช้งานยังมีความไม่ถูกต้อง จนส่งผลกดดันราคาหุ้น Alphabet ปรับตัวลดลงถึงราว -12% ในช่วงระหว่างวันที่ 7-9 ก.พ. นอกจากนี้ยังมีข่าวออกมาว่าพนักงานในบริษัทได้มีการแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อผู้บริหารที่พยายามจะเปิดตัวบริการ Bard AI เร็วจนเกินไปในขณะที่ยังไม่มีความพร้อมเต็มที่
แต่แล้วหลังจากนั้น Google ก็กลับมาแก้ตัวอีกครั้งกับงาน Google I/O เมื่อวันที่ 10 พ.ค. ที่ผ่านมา โดยนอกจากประสิทธิภาพของ Bard AI ที่มีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้นแล้ว Google ยังเปิดให้ผู้ใช้งานทั่วไปได้ทดลองใช้บริการ Bard AI แบบฟรี ๆ และยังระบุว่าจะนำบริการ Bard มาใส่ในบริการต่าง ๆ ของ Google ทั้งการช่วยส่งและตอบรับ Gmail แบบอัตโนมัติ หรือ การสร้างงานเอกสารต่าง ๆ ในโปรแกรม Google Docs , Google Sheets และ Google Slides ซึ่งหลังจากงาน Google I/O จบลง ราคาหุ้น Alphabet ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 12.5% (10-17 พ.ค.) ทำให้สงคราม AI ระหว่าง ChatGPT ของ Microsoft กับ Bard AI ของ ChatGPT ก็ยังไม่แน่ว่าฝ่ายไหนจะเป็นผู้ชนะ
ข้ามมาที่ฝั่งประเทศจีน หลังจากการประสบความสำเร็จของ ChatGPT บริษัทเทคโนโลยีจีนหลายแห่งก็ได้ประกาศว่าจะพัฒนา AI ในรูปแบบ Chatbot เพื่อมาแข่งขันกับ ChatGPT ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งบริษัทที่ดูเหมือนจะมีความคืบหน้ามากที่สุดคือบริษัท Baidu ที่ได้ประกาศว่าจะพัฒนา AI Chatbot ในชื่อ Ernie Bot โดยที่การเปิดตัวในครั้งแรกนั้นไม่ต่างจาก Bard AI ของ Google นัก คือสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน และยิ่งไปกว่านั้นก็คืองานเปิดตัว Ernie Bot ครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมาเป็นเพียงการเปิดสไดล์โดยมีวิดิโอการใช้งาน Ernie Bot ที่ถูกบันทึกไว้ล่วงหน้าแล้วเท่านั้น ส่งผลให้ราคาหุ้นของ Baidu ปรับตัวลดลงถึง -6.4% ในวันเดียว
แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปแค่ 1 วันคือในวันที่ 17 มี.ค. เมื่อมีการรีวิวจากผู้ที่ได้ทดลองใช้งาน Ernie Bot ซึ่งต่างออกมาในทิศทางบวก โดยเฉพาะความสามารถในการแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาจีน ส่งผลให้ราคาหุ้นของ Baidu กลับมาฟื้นตัวบวกได้ถึง 13.7% และในการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสล่าสุดของ Baidu ก็มีการประกาศชัดเจนจาก Robin Li ผู้ก่อตั้งและ CEO ว่าหลังจากนี้บริษัทจะทุ่มกำลังไปการพัฒนาระบบ AI เพื่อหวังจะเป็นการเติบโตของรายได้แหล่งใหม่ให้กับบริษัท โดยที่ในปัจจุบันถึงแม้ Ernie Bot จะยังไม่ได้ถูกพัฒนาจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ แต่ความต้องการของตลาดทำให้ Baidu ไม่อาจรอได้อีก ซึ่งลูกค้าบริษัทบางแห่งที่อยู่ในธุรกิจ การเงิน การศึกษา และ ซอฟต์แวร์ ต่างก็ได้ทดลองใช้งาน Ernie Bot แล้ว
โดยเมื่อสำรวจสมรภูมิสงคราม AI ยกแรกนี้ในสหรัฐ ฯ และประเทศที่ใช้งานในภาษาอังกฤษดูเหมือน ChatGPT ของ Microsoft จะได้เปรียบในช่วงแรก แต่ Google ก็ตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำไม่นาน และสามารถผลักดัน Bard AI ให้ออกมามีความสามารถและน่าสนใจในการใช้งานไม่ต่างกันมากนัก ส่วนในจีน Baidu ก็เป็นฝ่ายเอาชนะในสมรภูมิประเทศของตัวเอง เนื่องจากมีความสามารถเป็นจุดแข็งในการใช้งานภาษาจีน ส่วนในระยะข้างหน้าน่าจะใช้เวลาอีกยาวนานกว่าจะหาผู้ชนะที่แท้จริงในสงคราม AI ครั้งนี้ได้
ส่วนนักลงทุนที่ต้องการสร้างโอกาสจากการลงทุนในสงคราม AI ในครั้งนี้ ก็ไม่จำเป็นจะต้องเลือกผู้ชนะเป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่อย่างใด เนื่องจากสามารถลงทุนในกองทุนที่กระจายลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้นำในเทคโนโลยี AI หลายแห่งพร้อม ๆ กันยกตัวอย่างเช่น กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในดัชนี Nasdaq ของสหรัฐ ฯ ซึ่งจะมีการลงทุนทั้งในบริษัท Microsoft และ Alphabet บริษัทแม่ของ Google หรือกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีของจีนก็จะมีการลงทุนในบริษัท Baidu รวมถึงบริษัทเทคโนโลยีจีนอีกหลายแห่งที่ได้มีการประกาศว่าจะมีการพัฒนา AI ของตัวเองด้วยเช่นเดียวกัน
บทความโดย คุณสวภพ ยนต์ศรี
AFPT Senior Wealth Manager บลจ.ทิสโก้
เผยแพร่ครั้งแรกเว็บไซต์ Business Today