ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ภาพการลงทุนมีทั้งโอกาสและความท้าทายอยู่ไม่น้อย โดยมองว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเสี่ยงปรับฐานลงจากทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในระยะข้างหน้า ความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้อนแรง รวมถึงหากพิจารณาในแง่มูลค่า (Valuation) ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ (Forward P/E of S&P500 Index as of July 18, 2023) จะพบว่า ปัจจุบันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซื้อขายในระดับที่ค่อนข้างแพงอยู่ที่ราว 19.8 เท่า ซึ่งทางศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) ประเมินว่า ดัชนี S&P500 จะปรับตัวลงมาซื้อขายที่ระดับต่ำกว่า 17 เท่า หรือมูลค่าหุ้นสหรัฐฯ จะลดลงจากปัจจุบันประมาณ -14% โดยมีประเด็นที่กดดันคือ สภาพคล่องที่ลดลงจากมาตรการ QT (Quantitative Tightening) และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
จึงแนะนำให้ขายหุ้นสหรัฐฯ และโยกเงินเข้าใน 3 ธีมลงทุน ดังนี้
1. ตราสารหนี้สหรัฐฯ ด้วยปัจจุบันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) อายุ 10 ปี ของสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับ 3.8% ถือเป็นโอกาสสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐฯ ซึ่งให้ผลตอบแทน (Yield) ราว 3.8% และมีโอกาสได้ผลตอบแทนส่วนต่างกำไรจากการตีราคา (Capital Gain) เพิ่มอีก หาก Bond Yield เริ่มกลับมาลดลงในปีหน้า ตามแนวโน้มการคงและปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ในช่วง 1 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ TISCO ESU ได้มีการประเมินสถานการณ์ผลตอบแทนในช่วง 12 เดือนข้างหน้า หากลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐฯ อายุ 10 ปี ที่ระดับอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 3.8% โดยกรณีที่ Fed ทยอยปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะชะลอตัวไม่รุนแรง (Soft Landing) จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ราว 9% และในกรณีที่ดอกเบี้ยนโยบายปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว จากเศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัวลงรุนแรง (Hard Landing) จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงถึงราว 16% ทั้งนี้ โอกาสกำไรจากการลงทุนในตราสารหนี้ที่สูงกว่า 10% เกิดขึ้นเพียง 17 ครั้งในรอบ 50 ปี หรือเฉลี่ยทุก 3 ปี โดยล่าสุดเกิดขึ้นในปี 2020 ซึ่งปัจจุบันนับเป็นเวลาประมาณ 3 ปีพอดี
2. หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ (Healthcare) สำหรับการลงทุนในหุ้นมองว่าหุ้นกลุ่ม Healthcare เป็นกลุ่มที่น่าสนใจลงทุน เนื่องจากเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์ระยะยาวจากสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ตลอดจนนวัตกรรมทางการแพทย์ที่มีความก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้หุ้นกลุ่ม Healthcare ยังมีกำไรที่เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งแม้เจอภาวะ Recession โดยในช่วง Recession 3 ครั้งหลังสุด ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ทั้งฟองสบู่ดอทคอม (Dot-com Bubble) วิกฤตซับไพรม์ (Subprime Crisis) และโควิด-19 (Covid-19) ผลประกอบการของกลุ่ม Healthcare สามารถเติบโตได้ทุกครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมย่อยในกลุ่ม Healthcare อย่างหุ้นกลุ่มไบโอเทคโนโลยี (Biotechnology) ที่มีอัตราการเติบโตของกำไรในช่วงเศรษฐกิจถดถอยโดยเฉลี่ยสูงถึงราว 11% ต่อปี และเป็นหุ้นกลุ่มที่มี Valuation ซื้อขายในระดับต่ำ (Forward P/E of S&P 500 Biotechnology Index) อยู่ที่ราว 14.9 เท่า เมื่อเทียบกับกลุ่ม Healthcare โดยรวมที่ระดับราว 17.2 เท่า ซึ่งมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ราว 15% หากสมมติให้หุ้นกลุ่ม Biotechnology ซื้อขายเทียบเท่ากับมูลค่าของกลุ่ม Healthcare โดยรวม
3. ตลาดหุ้นเวียดนาม ปัจจุบันราคาตลาดหุ้นเวียดนามยังมีความน่าสนใจในการลงทุน จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ ที่ทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการลดดอกเบี้ยนโยบาย (Refinancing rate) ติดต่อกัน 3 ครั้งในปีนี้สู่ระดับ 4.5% เพื่อสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า จะมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.5% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และการปรับลด VAT จาก 10% เป็น 8% ที่ช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงการออกกฎหมาย Decree 8/2023 ของรัฐบาลเวียดนาม เพื่อบรรเทาความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ และสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีการขาดสภาพคล่อง ทำให้ความกังวลในภาคอสังหาริมทรัพย์คลี่คลายลงลง
โดยล่าสุด GDP ไตรมาส 2/2023 ของเวียดนามเติบโตถึง 4.14% มากกว่าที่ตลาดคาดว่าจะเติบโตเพียง 3.8% สะท้อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมาเริ่มได้ผล ทั้งนี้ Bloomberg Consensus ได้ประมาณการการเติบโตกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 20223 อยู่ที่ราว 11.8% YoY และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องอีก 26.4% YoY ในปี 2024 ในขณะเดียวกันด้าน Valuation ของตลาดหุ้นเวียดนามยังคงซื้อขายในระดับถูก (Forward P/E of Vietnam Index) อยู่ที่ราว 10.2 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ประมาณ 12.5 เท่า อยู่ราว 23% อีกด้วย
จะเห็นได้ว่า การลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้มีความท้าทายอยู่มาก จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต โดยเรามองว่า เป็นจังหวะที่ดีมาก สำหรับการลงทุนในตราสารความเสี่ยงต่ำอย่างตราสารหนี้สหรัฐฯ ซึ่งมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า รวมถึงการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Healthcare โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Biotechnology ที่ Valuation ยังต่ำเมื่อเทียบกับกลุ่ม Healthcare โดยรวม และผลประกอบการสามารถเติบได้อย่างแข็งแกร่งท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจถดถอย อีกทั้งยังเป็นโอกาสสำหรับการลงทุนในหุ้นเวียดนาม ด้วย Upside ที่สูงกว่า 23% จากระดับปัจจุบัน รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ จะช่วยหนุนการฟื้นตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียนในเวียดนามได้
บทความโดย วิภาดา ศุภกุลวณิชย์ AFPT™
Assistant Wealth Manager ธนาคารทิสโก้
เผยแพร่ครั้งแรก เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ