วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงของไทยได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปีครึ่ง หลังจากที่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จากระดับ 2.5% สู่ระดับ 2.25% ซึ่งถือเป็นการดำเนินนโยบายการเงินที่สวนทางกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์กว่า 20 สำนักที่มองว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงค์ชาติ จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม โดยการลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ยังถือว่าสอดคล้องกับธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกที่ได้เริ่มมีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงไปก่อนหน้านี้
พร้อมกันนี้ กนง. ยังได้ปรับประมาณการณ์การเติบโตของ GDP ไทยในปี 2024 และปี 2025 เป็น 2.7% และ 2.9% ตามลำดับ จากอานิสงส์ของการบริโภคภาคเอกชนที่ได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ตลอดจนการท่องเที่ยวและการส่งออกที่ฟื้นตัวขึ้นตามเศรษฐกิจโลก โดยมีมุมมองในเรื่องของเงินเฟ้อว่าจะกลับเข้ามาเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบเป้าหมายราว 0.5% ถึง 1.2% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า
ในแง่ของผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริง การปรับลดอัตราดอกเบี้ย จะส่งผลให้ “ต้นทุนทางการเงิน” ของทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจให้ลดลง อีกทั้งยังช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจให้มีแนวโน้มที่จะเติบโตสูงขึ้นจากการขยายตัวของสินเชื่อในรูปแบบต่าง ๆ พร้อมกับช่วยลดความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ของสถาบันการเงินไปในเวลาเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในแง่ของการลงทุนแล้ว แนวโน้มการปรับลงของอัตราดอกเบี้ยก็สะท้อนถึงผลตอบแทนจากการฝากเงินในธนาคารที่มีแนวโน้มลดลงเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลให้เม็ดเงินในระบบมีการเคลื่อนไหวออกจากบัญชีเงินฝากชนิดต่าง ๆ ออกไปเพื่อ “Search For Yield” หรือแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นกับสินทรัพย์ประเภทอื่น โดยสินทรัพย์ที่จะได้รับประโยชน์จากการลดลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ได้แก่
หุ้นปันผลสูง ปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยถือเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยหุ้นคุณค่า (Value Stocks) ที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) อยู่ในระดับสูง เป็นหุ้นกลุ่มที่สามารถลงทุนเพื่อรับกระแสเงินสดและเพิ่มผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุนได้ โดยหุ้นกลุ่ม High Dividend มักเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ของประเทศที่มีความแข็งแกร่งและผ่านวิกฤตมาแล้วหลายครั้ง ยกตัวอย่างเช่น หุ้นกลุ่มสื่อสาร หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคพื้นฐาน หุ้นกลุ่มค้าปลีก หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์และหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
หากพิจารณาที่ดัชนี SETHD (SET High Dividend) จะพบว่า Dividend Yield ของหุ้นกลุ่มนี้ในปัจจุบันสูงถึง 5% ซึ่งนับเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 10 ปี และยังเป็นระดับผลตอบแทนเงินปันผลที่สูงใกล้เคียงกับในช่วงวิกฤต COVID-19 ปี 2020 นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มปันผลสูงยังได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์และกองทุน ThaiESG ที่มีแนวโน้มจะไหลเข้ามาลงทุนในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้และผลักดันให้ราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น
Thai REITs ในอดีตช่วงปี 2011 – 2018 ที่อัตราดอกเบี้ยของไทยปรับตัวลดลงจากระดับ 3.5% เป็น 1.5% สินทรัพย์อย่าง Thai REITs สามารถสร้างผลตอบแทนในช่วงเวลาดังกล่าวได้สูงถึง +62% พร้อมกับให้เงินปันผลที่สม่ำเสมออย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ถือลงทุน ปัจจุบันราคาของ REITs ไทยปรับตัวลดลงมาจากจุดสูงสุดในช่วงปี 2019 มากถึง -47% ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลของ REITs ไทยขึ้นมาอยู่ในระดับที่สูงถึง 8% สูงสุดในรอบ 10 ปี
จุดเด่นของ REITs คือ การจ่ายปันผลที่มีความสม่ำเสมอคล้ายกับการจ่ายดอกเบี้ยของตราสารหนี้ แต่สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้ในระยะยาวคล้ายกับเงินปันผลของหุ้น อันเนื่องมาจากการปรับค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ หากเปรียบเทียบกับ การฝากเงินที่จะได้รับดอกเบี้ยที่ลดลงในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าแล้ว การลงทุนใน REITs ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ
ตราสารหนี้คุณภาพดี สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย การกระจายเงินเพื่อไปลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดี เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือ หุ้นกู้ภาคเอกชนในระดับ Investment grade ที่มีอายุ 2-3 ปีขึ้นไป ยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในภาวะดอกเบี้ยขาลง เนื่องจากนักลงทุนสามารถที่จะเลือก “Lock Yield” จากที่สูงราว 2-4% ในปัจจุบันได้ไปตลอดช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งผลตอบแทนที่ได้รับจากดอกเบี้ยตราสารหนี้จะคงที่ สวนทางกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจะต้องเลือกลงทุนตราสารหนี้อย่างระมัดระวังโดยเฉพาะหุ้นกู้บริษัทเอกชน เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียเงินต้นทั้งหมด
ดังนั้น ตอนนี้จึงถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่นักลงทุนไทยจะต้องเริ่มพิจารณาจัดพอร์ตการลงทุนและกระจายเม็ดเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น อย่างเช่น หุ้นปันผลสูง Thai REITs รวมถึงตราสารหนี้คุณภาพดี เพื่อสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าการฝากเงินที่มีแนวโน้มจะให้ผลตอบแทนต่ำลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่อยู่ในเทรนด์ขาลง
บทความโดย ภาคภูมิ พีรยวัฒนา AFPT™
Senior Wealth Manager ธนาคารทิสโก้