ก้าวเข้าสู่ปี 2025 สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงได้พัดผ่านเข้ามาหลายทิศทาง สมรภูมิการลงทุนจะเผชิญกับความท้าทายมากขึ้น ทั้งในบริบทการเมืองโลกที่สหรัฐฯ กำลังจะได้ Donald Trump กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 ทั้งในมุมของนโยบายการเงินที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกกำลังเข้าสู่วัฎจักรขาลง ทั้งในแง่ของการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่พร้อมจะปะทุขึ้นได้ตลอดเวลา จากปัจจัยเหล่านี้ นักลงทุนควรจะจัดพอร์ตเพื่อเอาชนะสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร จึงจะอยู่รอดปลอดภัยและสร้างผลตอบแทนได้อย่างงดงามในปี 2025 เราสามารถแบ่งธีมการลงทุนได้ ดังนี้
1. America First
หนึ่งนโยบายเรือธงของ Trump ที่นักลงทุนให้ความสนใจมากที่สุด คือ การปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคล (Corporate tax) ลงจาก 21% สู่ระดับ 15% เนื่องจากหากมองย้อนหลังกลับไปในอดีตที่สหรัฐฯมีการปรับลดภาษีนิติบุคคลลง มักจะส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่น การปรับลดภาษีฯในปี 1986 ในสมัย Ronald Reagan และอีกครั้งในปี 2017 ในยุค Donald Trump ซึ่งการลดภาษีฯได้ทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตสูงถึงกว่า 40% และ 20% ตามลำดับ สอดคล้องกับผลตอบแทนของตลาดหุ้นสหรัฐฯในปีนั้นที่พุ่งขึ้นถึง +14.6% และ +19.4% เช่นกัน
ในครั้งนี้นักวิเคราะห์คาดว่า นโยบายการปรับลดภาษีนิติบุคคลจะส่งผลโดยตรงต่อกำไรบริษัทในดัชนี S&P500 ให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกราว 4% ทันทีที่มีผลบังคับใช้ โดยหุ้นกลุ่มที่มีโอกาสถูกปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary) ที่คาดว่ากำไรจะโตขึ้นอีก 7% ขณะที่ กลุ่มสถาบันการเงิน (Financials) และกลุ่มบริการด้านการสื่อสาร (Communication Services) คาดว่าจะได้รับ Earnings Upgrade อีกประมาณ 5% จากประมาณการเดิม
อีกหนึ่งนโยบายที่สำคัญของ Trump คือ นโยบายกีดกันการค้า (Tariffs) ซึ่งการดำเนินนโยบายสงครามการค้ากับประเทศอื่นทั่วโลก ทำให้สหรัฐฯเองก็อาจจะต้องเผชิญกับการตอบโต้มาตรการกีดกันทางการค้าจากประเทศอื่นๆเช่นกัน ส่งผลให้บริษัทสหรัฐฯที่มีรายได้จากนอกประเทศเป็นสัดส่วนที่สูง เช่น กลุ่มเทคโนโลยี อาจได้รับผลกระทบ ในขณะที่ หุ้นอุตสาหกรรมที่มียอดขายจากต่างประเทศน้อยจะได้รับผลกระทบที่จำกัด เช่น กลุ่มสถาบันการเงินและกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีรายได้จากต่างประเทศเพียงแค่ 28% และ 34% น้อยกว่าบริษัทในดัชนี S&P500 ที่มียอดขายต่างประเทศสูงถึง 41%
หากพิจารณาประกอบกันทั้ง 2 มิติ ทั้งนโยบายการลดภาษีนิติบุคคล กับ ความเสี่ยงจากมาตรการตอบโต้การกีดกันทางการค้า การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปี 2025 จึงควร “Selective รายอุตสาหกรรม” โดยเน้นไปที่กลุ่มสถาบันการเงิน (Financials) และ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (Consumer Discretionary)
2. Domestic-Oriented Countries
Trump ได้ประกาศว่าพร้อมจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนเป็น 60% และ 10% สำหรับทุกประเทศ กลุ่มประเทศที่น่าสนใจในการลงทุนจึงต้องเป็นประเทศที่ “ความเสี่ยงจากภายนอกต่ำ ความแข็งแกร่งจากภายในสูง” กล่าวคือ เป็นประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯไม่สูงเกินไป และ ยังมีเศรษฐกิจภายในที่แข็งแกร่ง เช่น มีสัดส่วนการบริโภคภายในประเทศที่ใหญ่เมื่อเทียบกับ GDP ตัวเอง โดยประเทศที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ ได้แก่ ญี่ปุ่น อินเดียและเวียดนาม เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าไม่เกิน 1.5% ของ GDP สหรัฐฯ เปรียบเทียบกับประเทศอย่างจีน เม็กซิโกและแคนาดาที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าสูงถึง 2-3.5% ของ GDP สหรัฐฯ นอกจากนี้ กลุ่มประเทศดังกล่าวยังมีสัดส่วนการบริโภคภายในประเทศที่ใหญ่เกิน 50% ของ GDP ตัวเอง ซึ่งสามารถลดแรงกระแทกจากนโยบายกีดกันทางการค้าได้
3. Asset Shield
ด้วยสถานการณ์ตลาดที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูงจากการดำเนินนโยบายของ Trump ที่อาจนำไปสู่เงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น ตลอดจนความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนจะต้องมีในพอร์ตเพื่อลดความผันผวนและ Hedge ความเสี่ยงเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ นโยบายการเงินทั่วโลกที่อยู่ในทิศทางผ่อนคลายยังเป็นโอกาสให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์อื่น ๆ ที่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่เข้าสู่วัฎจักรขาลง ได้แก่
ตราสารหนี้ต่างประเทศ (Global Bond) ซึ่งราคามักจะปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลง โดยเราแนะนำให้เน้นลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีอายุสั้นไม่เกิน 3 ปี ที่มี Credit rating อยู่ในระดับ Investment grade ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ต่ำและยังได้รับประโยชน์จากนโยบายการลดภาษีนิติบุคคล ที่จะทำให้บริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นจนนำไปสู่การปรับเพิ่ม Credit rating ในอนาคต
ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ (Global REITs) เน้นลงทุนในกลุ่ม REITs ที่ได้ประโยชน์จาก Megatrend ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงพร้อมกับกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ เช่น กลุ่ม Data Center และ Industrial
สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงอาจไม่ใช่เป็นเพียงแต่ความเสี่ยงและความผันผวน แต่หากยังเป็นโอกาสในการทำกำไรของนักลงทุนได้เช่นกัน เราเชื่อว่าหากนักลงทุนมีกลยุทธ์เตรียมพร้อมรับมือและจัดพอร์ตการลงทุนกระจายความเสี่ยงเป็นอย่างดี ก็สามารถ “Beating The Wind of Change” ที่จะเกิดขึ้นในปี 2025 ได้อย่างแน่นอน
บทความโดย ภาคภูมิ พีรยวัฒนา AFPT™
Senior Wealth Manager ธนาคารทิสโก้