ปี 2023 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯถือเป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนได้อย่างงดงามกับนักลงทุน ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นได้ถึง 26% โดยได้รับอานิสงส์จากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่งกว่าที่คาด การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed ที่เข้าใกล้จุดสิ้นสุดและการเติบโตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจากกระแสปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Inteliigence) ปัจจัยเหล่านี้ผลักดันให้ Valuation ของตลาดหุ้นสหรัฐฯในปัจจุบันปรับตัวขึ้นมาซื้อขายอยู่ในระดับที่สูงใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดวิกฤต COVID-19 ที่ Forward PE ราว 19.9 เท่า
อย่างไรก็ตาม โอกาสที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯจะสร้างผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมอีกครั้งในปี 2024 อาจจะกลายเป็นเรื่องยาก หากพิจารณาค่า Earnings Yield Gap (EYG) ซึ่งบ่งชี้ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในหุ้นเทียบกับพันธบัตร ที่ปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำเพียงแค่ 1.2% เท่านั้น แสดงให้เห็นว่า หุ้นสหรัฐฯให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลเพียงเล็กน้อย ทั้งที่หุ้นมีความเสี่ยงที่สูงกว่าพันธบัตรเป็นอย่างมาก
จากการศึกษาข้อมูลย้อนหลังไป 25 ปี นับตั้งแต่ปี 1998 – 2023 พบว่า หากเราเข้าลงทุนในหุ้นสหรัฐฯที่ระดับ EYG ราว 1.2% อย่างเช่นในปัจจุบัน ผลตอบแทนเฉลี่ยตลอดระยะเวลา 5 ปีต่อมา จะอยู่เพียงแค่ 2% ต่อปีเท่านั้น ซึ่งถือเป็นผลตอบแทนที่ต่ำมาก หากเทียบกับผลตอบแทนจากสินทรัพย์อื่นๆในปัจจุบัน อย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปี ที่ให้ผลตอบแทน (Yield) อยู่ที่ระดับ 4% หรือ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก (Global REITs) ที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่สูงในระดับ 4% เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ ในสถานการณ์ปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยถึงจุดสูงสุดและมีแนวโน้มปรับตัวเป็นขาลงในอนาคต ถือเป็นจังหวะที่เหมาะสมในการเข้าลงทุนทั้งพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และ Global RIETs เนื่องจากสถิติย้อนหลัง 10 ปี ชี้ว่า พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และ Global RIETs มักเป็น 2 สินทรัพย์ที่มักจะเคลื่อนไหวสวนทางกับ Bond yield อย่างชัดเจน กล่าวคือ ราคาของสินทรัพย์เหล่านี้มักปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อ Bond yield ปรับตัวลดลง ส่งผลให้นักลงทุนได้รับ Capital gain เป็นโบนัสจากการลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้อีกด้วย
สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย การเข้าลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯในปัจจุบัน มีโอกาสได้รับผลตอบแทนรวม (Total Return) ที่สูงถึงกว่า 8% ทั้งจาก Yield ที่สูงถึง 4% บวกกับ Capital gain ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอีกราว 4% เมื่อ Bond yield สหรัฐฯปรับตัวลดลงแตะระดับ 3.9% ในช่วงปลายปีนี้
สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้น Global REITs ถือเป็นตัวเลือกในการลงทุนที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าพันธบัตร เนื่องจากมีอัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend yield) ที่สูงและสม่ำเสมอถึงระดับ 4% ในขณะที่ Valuation ปัจจุบันยังซื้อขาย “Discount” มูลค่าสินทรัพย์สุทธิมากถึง 25% ซึ่งถือเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงวิกฤต COVID-19 ปี 2020 และ Subprime ปี 2008 ทำให้ราคาของ Global REITs มี Upside ที่สูงมาก หากกลับขึ้นมาซื้อขายใกล้เคียงกับมูลค่าสินทรัพย์สุทธิอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต
ดังนั้น ในจังหวะที่ Bond yield ปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะสั้นสู่ระดับ 4% – 4.2% ในรอบนี้ เราแนะนำให้ขายทำกำไรหุ้นสหรัฐฯที่ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับที่แพงที่สุุดนับตั้งแต่ช่วงก่อน COVID-19 และเข้าทยอยสะสมสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากภาวะดอกเบี้ยขาลง ซึ่งมีโอกาสที่จะเป็น “Asset Winners” ในปีนี้ ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ Investment grade รวมถึง ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก (Global REITs) ซึ่งให้ Yield ที่สูงถึง 4% ขึ้นไปและยังมีโอกาสสร้าง Capital gain ในระดับที่สูงให้กับนักลงทุน เมื่อ Bond yield กลับมาอยู่ในทิศทางขาลง
โดย ภาคภูมิ พีรยวัฒนา AFPT
Senior Wealth manager ธนาคารทิสโก้