ธ.ทิสโก้เชียร์ ซื้อ! กองทุนตราสารหนี้ – หุ้นเฮลธ์แคร์ รับกำไรพุ่ง ปี 2566

บทความการลงทุนเชิงลึก ที่คุณไม่ควรพลาด

1667528394610 1

ธนาคารทิสโก้คาด ปี 2566 เศรษฐกิจถดถอยมาแน่ แนะซื้อ “กองทุนตราสารหนี้” กระจายความเสี่ยงแถมเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนคุ้มค่าในช่วง 1 ปี ทั้งดอกเบี้ยและส่วนต่างราคา และหากสนใจลงทุนในหุ้นแนะนำซื้อ “หุ้นเฮลธ์แคร์” สถิติชี้ชัด ผลประกอบการยังโตแข็งแกร่งแม้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย  แถมราคาหุ้นปัจจุบันถูกกว่าดัชนี S&P500 

นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า แม้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ น่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ต้องยอมรับว่าอัตราเงินเฟ้อปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้ที่ประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) วันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ที่ประชุมได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรง 0.75% เพื่อหยุดเงินเฟ้อ และคาดว่า Fed จะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องจนไปแตะระดับสูงสุดที่ระดับ 5.00-5.25% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ซึ่งจะทำให้อัตราเงินเฟ้อจะลดลงอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี 2566  

ในด้านเศรษฐกิจปี 2566 นั้น คาดว่าจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) คาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2566 ดังนั้น การลงทุนในช่วงนี้ ธนาคารทิสโก้ยังคงมองหาการลงทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี เพื่อรับมือกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่รออยู่ในช่วงปีหน้า โดยแนะนำให้นักลงทุนอาศัยจังหวะที่ดอกเบี้ยสหรัฐฯ (Bond Yield) ปรับตัวขึ้นมาสูงที่ระดับกว่า 4% ลงทุนใน “กองทุนตราสารหนี้” ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ที่มีเครดิตเรตติ้งสูง เช่น A- ขึ้นไป และอายุตราสารหนี้ระยะปานกลางประมาณ 3-5 ปีขึ้นไป เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าในช่วง 1 ปีข้างหน้า และยังเป็นการกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตลงทุนอีกด้วย  

“ในช่วงนี้ธนาคารทิสโก้ยังแนะนำให้นักลงทุน ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากดอกเบี้ย (Bond Yield) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูงถึงกว่า 4% นอกจากนี้ กองทุนตราสารหนี้ยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) ของตราสารหนี้ เพราะคาดว่าปีหน้า Fed จะผ่อนคันเร่งการขึ้นดอกเบี้ยจากเงินเฟ้อที่จะชะลอตัวลงรวมถึงเศรษฐกิจที่เข้าสู่สภาวะถดถอย ซึ่งจะทำให้ราคาตราสารหนี้ระยะกลางปรับตัวเพิ่มขึ้น” นายณัฐกฤติกล่าว

สำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ และต้องการลงทุนในตลาดหุ้น แนะนำให้เน้นหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ (Healthcare) เพราะเป็นอุตสาหกรรมได้รับอานิสงส์ระยะยาวจากการเปลี่ยนโครงสร้างของจำนวนประชากรผู้สูงอายุที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นทั่วโลก ตลอดจนนวัตกรรมทางการแพทย์ที่มีความก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้หุ้นกลุ่ม Healthcare ก็ยังเป็นกลุ่มที่มีรายได้และกำไรมีความสม่ำเสมอ ไม่ผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ และมีอำนาจในการปรับราคาสินค้าขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ (Pricing Power) อีกด้วย 

ซึ่งจากข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า หุ้นกลุ่ม Healthcare เป็นเพียงกลุ่มเดียวที่ผลประกอบการสามารถเติบโตสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงวิกฤตฟองสบู่ดอทคอม (Dotcom) ปี 2543 , วิกฤตสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Sub – Prime Mortgage Crisis)  ปี 2550 -2552 และ วิกฤตน้ำมัน (Oil Crash) ปี 2558 -2559 ที่กำไรต่อหุ้นของหุ้นกลุ่ม Healthcare สามารถเติบโตได้ในระดับ 14.6% ,-0.1%, 14.2% ตามลำดับ เทียบกับดัชนี S&P 500 ที่ปรับตัวลดลง -25.9%, -49.2%, -6.6% ตามลำดับ

โดยปัจจุบันหุ้นกลุ่ม Healthcare ซื้อขายที่ราคาหุ้นเทียบกับคาดการณ์กำไรในอนาคต (Fwd P/E) เพียง 16.37 เท่านับว่าเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตย้อนหลัง 10 ปี และต่ำกว่า Fwd P/E ของดัชนี S&P500 ที่ 17.33 เท่า โดยอุตสาหกรรมย่อยในกลุ่ม Healthcare ที่ผลประกอบการสามารถเติบโตสวนสภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้อย่างแข็งแกร่ง ได้แก่ กลุ่มไบโอเทคโนโลยี (Biotechnology) และ Health Care Equipment & Services ซึ่งมีอัตราการเติบโตของกำไรในช่วงเศรษฐกิจถดถอย โดยเฉลี่ยสูงถึง 11% และ 7% ตามลำดับ 

บทความล่าสุด

แจกทริกตั้งเป้าหมายทางการเงินให้ปังไม่พังตั้งแต่ต้นปี

เมื่อเริ่มต้นปีใหม่ หลายคนมักตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาตัวเองในด้านต่าง ๆ รวมถึงเรื่องการเงิน เช่น การออมเงิน ลดหนี้ หรือเพิ่มรายได้ แต่บ่อยครั้งที่เป้าหมายเหล่านี้มักไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ ข้อมูลจาก Forbes พบว่ากว่า 80% ของการตั้งเป้าหมายช่วงปีใหม่มักล้มเหลวภายในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยทั้ง การตั้งเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน ขาดการวางแผนที่ดี และการลงมือทำที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถจัดการได้ถ้ารู้จักหลัก S.M.A.R.T. รวมถึงเพิ่ม 3 ทริกที่จะเพิ่มโอกาสความสำเร็จของเป้าหมาย

อ่านต่อ >>

ญี่ปุ่น ฟื้นจากเงินฝืดสู่เงินเฟ้อ สร้างภูมิต้านทานสงครามการค้า

เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปี 2025 พร้อมกับการพลิกจากภาวะเงินฝืดสู่ภาวะเงินเฟ้อ ในขณะที่ผลกระทบจากประเด็นการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ เป็นไปอย่างจำกัด จึงทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีโอกาสจะเป็นตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้ดีและมีความแข็งแกร่งในปี 2025 นี้

อ่านต่อ >>

ธ.ทิสโก้ เปิด 3 กลุ่มสินทรัพย์ โอกาสสร้างกำไรทะยาน ! ปี 68

Wealth Advisory ธนาคารทิสโก้ คาดนโยบาย โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หนุน 3 กลุ่มสินทรัพย์ราคาทะยาน ได้แก่ 1. กลุ่มอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ คือ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย บริการการสื่อสาร และกลุ่มสถาบันการเงิน 2. กลุ่มประเทศที่ราคาหุ้นขึ้นช่วงสงครามการค้า คือ อินเดีย เวียดนาม และญี่ปุ่น และ 3. กลุ่มสินทรัพย์ได้ประโยชน์จากนโยบายการเงิน – การคลัง คือ ตราสารหนี้ รีท และทองคำ พร้อมชี้ราคาหุ้นจีน น้ำมัน และพลังงานจ่อดิ่ง แนะหลีกเลี่ยงลงทุน

อ่านต่อ >>

แจกทริกตั้งเป้าหมายทางการเงินให้ปังไม่พังตั้งแต่ต้นปี

เมื่อเริ่มต้นปีใหม่ หลายคนมักตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาตัวเองในด้านต่าง ๆ รวมถึงเรื่องการเงิน เช่น การออมเงิน ลดหนี้ หรือเพิ่มรายได้ แต่บ่อยครั้งที่เป้าหมายเหล่านี้มักไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ ข้อมูลจาก Forbes พบว่ากว่า 80% ของการตั้งเป้าหมายช่วงปีใหม่มักล้มเหลวภายในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยทั้ง การตั้งเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน ขาดการวางแผนที่ดี และการลงมือทำที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถจัดการได้ถ้ารู้จักหลัก S.M.A.R.T. รวมถึงเพิ่ม 3 ทริกที่จะเพิ่มโอกาสความสำเร็จของเป้าหมาย

อ่านต่อ >>

ญี่ปุ่น ฟื้นจากเงินฝืดสู่เงินเฟ้อ สร้างภูมิต้านทานสงครามการค้า

เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปี 2025 พร้อมกับการพลิกจากภาวะเงินฝืดสู่ภาวะเงินเฟ้อ ในขณะที่ผลกระทบจากประเด็นการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ เป็นไปอย่างจำกัด จึงทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีโอกาสจะเป็นตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้ดีและมีความแข็งแกร่งในปี 2025 นี้

อ่านต่อ >>

ธ.ทิสโก้ เปิด 3 กลุ่มสินทรัพย์ โอกาสสร้างกำไรทะยาน ! ปี 68

Wealth Advisory ธนาคารทิสโก้ คาดนโยบาย โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หนุน 3 กลุ่มสินทรัพย์ราคาทะยาน ได้แก่ 1. กลุ่มอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ คือ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย บริการการสื่อสาร และกลุ่มสถาบันการเงิน 2. กลุ่มประเทศที่ราคาหุ้นขึ้นช่วงสงครามการค้า คือ อินเดีย เวียดนาม และญี่ปุ่น และ 3. กลุ่มสินทรัพย์ได้ประโยชน์จากนโยบายการเงิน – การคลัง คือ ตราสารหนี้ รีท และทองคำ พร้อมชี้ราคาหุ้นจีน น้ำมัน และพลังงานจ่อดิ่ง แนะหลีกเลี่ยงลงทุน

อ่านต่อ >>
Scroll to Top
ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น และนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้องและตรงกับความสนใจของท่าน โดยท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก นโยบายการใช้คุกกี้ กรุณากดยอมรับเพื่อยินยอมให้เราใช้คุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็น

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึกการตั้งค่า