นับตั้งแต่ปลายเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา สถานการณ์การหาเสียงเลือกตั้งของสหรัฐฯ เริ่มมีความเข้มข้นมากขึ้น หลังจากการประชันวิสัยทัศน์ครั้งแรกระหว่าง 2 ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ในวันที่ 28 มิ.ย. ที่ผ่านมา Donald Trump สามารถเอาชนะ Joe Biden ได้ในการดีเบต ต่อเนื่องด้วยเหตุการณ์ลอบยิง Trump ที่รัฐ Pennsylvania ซึ่งทำให้ Trump ได้รับบาดเจ็บแต่สามารถเอาชีวิตรอดมาได้ ทั้งสองเหตุการณ์สำคัญได้ส่งผลบวกให้คะแนนความนิยมของ Trump พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและทิ้งห่าง Biden อย่างต่อเนื่อง จนล่าสุด Biden ได้ประกาศ “ถอนตัว“ จากการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและพร้อมหนุน “Kamala Harris” รองประธานาธิบดีให้เป็นตัวแทนของพรรค Democrats ในการสู้ศึกเลือกตั้ง 2024
ความคาดหวังที่ Trump จะชนะเลือกตั้ง ส่งผลให้ตลาดการเงินเริ่มมีการตอบรับในประเด็นดังกล่าว เห็นได้จากกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายของ Trump เริ่มมีการเคลื่อนไหว Outperform ตลาดอย่างชัดเจน ภายใต้ธีมการลงทุนที่เรียกว่า “Trump Trade” ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ธีม ดังนี้
Trade Policy
สหรัฐฯ ยังคงมีความพยายามที่จะกีดกันจีนในการก้าวขึ้นมาเป็นเศรษฐกิจเบอร์หนึ่งของโลกอย่างต่อเนื่องด้วยการทำ “สงครามการค้า” ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ Trump ได้ประกาศว่า เตรียมสานต่อนโยบายการ “ปรับขึ้นภาษีศุลกากร” ด้วยการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนขึ้นสูงถึง 60% รวมถึงจะปรับขึ้นภาษีนำเข้ากับทุกประเทศที่ส่งสินค้าไปขายที่สหรัฐฯ 10%
จากการศึกษาข้อมูลย้อนหลังไปในอดีต ในช่วงที่ Trump ดำรงตำแหน่งสมัยแรกในปี 2017-2019 พบว่า ตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในช่วงเวลาดังกล่าวคือ “ตลาดหุ้นอินเดียและตลาดหุ้นเวียดนาม” โดยตลาดหุ้นอินเดีย +55% และ ตลาดหุ้นเวียดนาม +43% เนื่องจากทั้งสองประเทศได้รับประโยชน์จากเทรนด์การโยกย้ายฐานการผลิตออกจากจีน มีจุดยืนที่เป็นกลางในเวทีการค้าโลกตลอดจนมีความได้เปรียบด้านค่าแรงที่ถูก ดังนั้น ตลาดหุ้นเวียดนามกับอินเดีย จึงเป็นตลาดหุ้นที่มีโอกาสจะ Outperform ตลาดหุ้นประเทศอื่นในยุคของ Trump อีกครั้ง
Tax Policy
แนวทางการดำเนินนโยบายภาษีของ Trump คือ “คงภาษีของคนอเมริกันไว้ในระดับต่ำ” โดย Trump มีแผนที่จะ “ตรึงภาษีนิติบุคคลไว้ที่ระดับ 21%” และต้องการที่จะต่ออายุอัตราภาษีดังกล่าวที่กำลังจะหมดลงในปี 2025 ออกไปเป็นการถาวร นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะ “คงภาษีบุคคลธรรมดา” ไว้ที่ระดับเดิม เพื่อสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศ นโยบายทางด้านภาษีของ Trump จึงเป็นผลบวกโดยตรงต่อกำไรบริษัทจดทะเบียนของสหรัฐฯและทำให้ “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ” มีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ โดยเฉพาะหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมถึงหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรม Consumer Discretionary ที่อิงกับการใช้จ่ายของภาคประชาชน
Energy Policy
นโยบายด้านพลังงานของ Trump เน้นสนับสนุนอุตสาหกรรมพลังงานแบบดั้งเดิม อย่างเช่น น้ำมัน ถ่านหิน โดยสนับสนุนให้เพิ่มพื้นที่การสำรวจขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ รวมถึงให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและให้เงินอุดหนุนแก่ธุรกิจพลังงานฟอสซิล อีกทั้งยังมีแผนที่จะยกเลิกกฏหมาย Inflation Reduction Act ที่มุ่งเน้นการสนับสนุนธุรกิจพลังงานสะอาดของรัฐบาล Biden เพื่อลดการใช้จ่ายทางด้านงบประมาณกว่า 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้น หุ้นกลุ่ม Energy อย่างเช่น Oil & Gas จึงเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากการเข้ามาของ Trump
Financial Deregulation
อีกหนึ่งนโยบายเรือธงของ Trump ก็คือ การผ่อนปรนกฎหมายและข้อบังคับต่างๆในอุตสาหกรรมการเงิน โดยการยกเลิกบางส่วนของกฎหมาย Dodd-Frank ซึ่งเป็นกฏหมายที่เข้ามาควบคุมภาคธนาคารของสหรัฐฯ อย่างเข้มงวดหลังเกิดวิกฤต Subprime ปี 2008 ยกตัวอย่างเช่น การห้ามสถาบันการเงินทำธุรกรรมการเก็งกำไรบางประเภท หรือ การจำกัดค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตที่สถาบันการเงินเรียกเก็บ ดังนั้น นโยบาย Financial Deregulation ของ Trump จึงถือเป็นประโยชน์ต่อรายได้และกำไรของกลุ่มสถาบันการเงินของสหรัฐฯ ให้กลับมามีแนวโน้มเติบโต
Healthcare Policy
Trump มักให้การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ประเภทต่าง ๆ รวมถึงเพิ่มความโปร่งใสในธุรกิจประกันสุขภาพและโรงพยาบาล เพื่อป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภค อีกทั้ง Trump ยังมีความพยายามที่จะแทนที่นโยบาย Affordable Care Act (Obamacare) ของรัฐบาล Democrats ด้วยนโยบายสาธารณสุขที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพกว่า ดังนั้น เรามองว่าหุ้นกลุ่ม Healthcare น่าจะได้รับประโยชน์จากนโยบายสาธารณสุขของ Trump โดยเฉพาะ “หุ้นกลุ่ม Biotechnology” ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในฐานะผู้ผลิตและคิดค้นยานวัตกรรม
จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าการเลือกตั้งสหรัฐฯจะสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินหรือไม่ ประธานาธิบดีจะเป็นใคร โอกาสในการลงทุนยังคงมีอยู่เสมอ หากนักลงทุนสามารถวิเคราะห์แนวทางการดำเนินนโยบายและเข้าลงทุนก่อนที่ตลาดจะรับรู้ การสร้างผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมในยุคของ Trump อาจไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
บทความโดย ภาคภูมิ พีรยวัฒนา AFPT™
Senior Wealth Manager ธนาคารทิสโก้