เปิดนโยบาย Trump vs Harris จับทิศการลงทุน

บทความการลงทุนเชิงลึก ที่คุณไม่ควรพลาด

1727161327478

ผ่านไปแล้วกับการขึ้นเวทีดีเบตระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ และ คามาลา แฮร์ริส ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้ง 2 ฝ่ายต่างแสดงวิสัยทัศน์และนโยบายที่จะใช้บริหารประเทศที่โดดเด่นและมีความแตกต่างกัน นโยบายของผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้นำคนสำคัญของโลกจะเป็นเข็มทิศสำคัญต่อการวางแผนการลงทุน

คะแนนนิยมของโดนัลด์ ทรัมป์ และ คามาลา แฮร์ริส ยังคงใกล้เคียงกัน โดยผลสำรวจส่วนใหญ่ชี้ว่านางคามาลา แฮร์ริส มีคะแนนนำเหนือโดนัลด์ ทรัมป์ เล็กน้อยหลังจบการดีเบต นโยบายของคามาลาแฮรร์ริส และโดนัลด์ ทรัมป์ มีหลายส่วนที่แตกต่างกัน ซึ่งนโยบายที่น่าจับตามองและคาดว่าจะส่งผลต่อภาพเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกมี ดังนี้

1. นโยบายด้านภาษี: ทรัมป์เอื้อคนรวย แฮร์ริสช่วยคนจน

ทรัมป์: ตั้งเป้าลดภาษีนิติบุคคลลงเหลือ 15% จาก 21% ในขณะที่ยังคงต่ออายุอัตราภาษีส่วนบุคคลที่ใช้ในปัจจุบัน โดยคงเพดานอัตราภาษีสูงสุดไว้ที่ 37%

แฮร์ริส: เพิ่มภาษีนิติบุคคลเป็น 28% จาก 21% แต่จะลดหย่อนภาษีให้ธุรกิจขนาดเล็ก 50,000 ดอลลาร์ สำหรับภาษีส่วนบุคคลจะไม่ขึ้นภาษีสำหรับผู้มีรายได้น้อยกว่า 400,000 ดอลลาร์ต่อปี และยังเสนอเพิ่มวงเงินสำหรับโครงการคืนภาษีบุตร (Child Tax Credit) เป็น 6,000 ดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นจำนวนเงินสูงสุดของโครงการคืนภาษีบุตร

ผลกระทบต่อการลงทุน: หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งจะเป็นผลบวกต่อบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯโดยรวมและจะหนุนภาพการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯในระยะสั้น แต่อาจตามมาด้วยเงินเฟ้อที่กลับมาเพิ่มขึ้นในระยะถัดไป แต่หากแแฮร์ริสชนะจะเป็นแรงกดดันต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯและมีโอกาสที่เม็ดเงินลงทุนส่วนหนึ่งจะไหลเข้าสู่ตลาดกลุ่มเกิดใหม่โดยเฉพาะตลาดหุ้นเอเชีย

2. นโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศ: ทรัมป์เก็บภาษีนำเข้าในอัตราสูงโดยเฉพาะสินค้าจีน แฮร์ริสไม่เห็นด้วย

ทรัมป์: เสนอเก็บภาษีนำเข้าจากทุกประเทศในอัตรา 10-20% จากอัตราเฉลี่ยที่ 3% ในปัจจุบัน และจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 60% จากอัตราเฉลี่ย 20% ในปัจจุบัน

แฮร์ริส: คัดค้านการขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ในอัตราสูง และมองว่านโยบายการตั้งกำแพงภาษีของทรัมป์จะยิ่งทำให้ครอบครัวชนชั้นกลางมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม แฮร์ริสยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนต่อภาษีการค้าระหว่างประเทศ

ผลกระทบต่อการลงทุน: หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง จะเป็นแรงกดดันต่อตลาดหุ้นโดยรวม โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีน โดยภายใต้ยุคของทรัมป์เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมีการทำสงครามการค้ากันอย่างรุนแรง ซึ่งไม่เพียงส่งผลลบต่อประเทศคู่ค้าแต่จะส่งผลกลับมาที่สหรัฐฯเองด้วย ส่วนแฮร์ริสแม้จะยังไม่มีนโยบายที่แน่ชัด แต่ท่าทีที่ต่อต้านการขึ้นภาษีนำเข้าในอัตราสูงของทรัมป์ส่งผลเชิงบวกต่อภาพการลงทุนโดยรวม

3. นโยบายด้านพลังงาน – ทรัมป์เร่งขุดเจาะ แฮร์ริสเน้นพลังงานสะอาด

ทรัมป์: สนับสนุนการขุดเจาะน้ำมันในประเทศรวมถึงวิธีการขุดเจาะน้ำมันแบบแฟรกกิ้ง(Fracking) เพื่อลดการพึ่งพิงการนำเข้าน้ำมัน

แฮร์ริส: สนับสนุนพลังงานสะอาด และมีท่าทีอ่อนลงต่อการขุดเจาะน้ำมันแบบแฟรกกิ้ง

ผลกระทบต่อการลงทุน: หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯจะเดินหน้าเร่งขุดเจาะน้ำมัน แม้การขุดเจาะน้ำมันแบบแฟรกกิ้งจะสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากสารเคมีที่ใช้ในการขุดเจาะและถูกแบนในหลายประเทศรวมถึงบางรัฐในสหรัฐฯ เช่น นิวยอร์ก  แต่หากแฮร์ริสได้เป็นประธานาธิบดี กลุ่มพลังงานสะอาดจะยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง และมีความเป็นไปได้ที่การขุดเจาะแบบแฟรกกิ้งจะยังคงถูกห้ามทำในบางรัฐ

การหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐยังคงเข้มข้น นโยบายของตัวเต็งทั้ง 2 ฝั่ง ก่อนจะถึงวันลงคะแนนเสียงอย่างเป็นทางการในวันที่ 5 พ.ย. จะเป็นเข็มทิศสำคัญที่จะกำหนดทิศทางการลงทุน ดังนั้น จึงต้องวางแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับนโยบายเหล่านี้และกระจายการลงทุนเพื่อลดโอกาสที่จะได้รับผลกระทบจากบางนโยบาย เพื่อเตรียมพร้อมรับประธานาธิบดีคนถัดไปของสหรัฐฯที่มีอิทธิพลต่อโลกการลงทุน

 

นโยบายทรัมป์ vs แฮร์รี่ และผลกระทบต่อการลงทุน 

1727161534413
ที่มา: TISCO Wealth Advisory

 

บทความโดย โดย ณัฐพร ธรวงศ์ธวัช AFPT™

Wealth Manager ธนาคารทิสโก้

บทความล่าสุด

แจกทริกตั้งเป้าหมายทางการเงินให้ปังไม่พังตั้งแต่ต้นปี

เมื่อเริ่มต้นปีใหม่ หลายคนมักตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาตัวเองในด้านต่าง ๆ รวมถึงเรื่องการเงิน เช่น การออมเงิน ลดหนี้ หรือเพิ่มรายได้ แต่บ่อยครั้งที่เป้าหมายเหล่านี้มักไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ ข้อมูลจาก Forbes พบว่ากว่า 80% ของการตั้งเป้าหมายช่วงปีใหม่มักล้มเหลวภายในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยทั้ง การตั้งเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน ขาดการวางแผนที่ดี และการลงมือทำที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถจัดการได้ถ้ารู้จักหลัก S.M.A.R.T. รวมถึงเพิ่ม 3 ทริกที่จะเพิ่มโอกาสความสำเร็จของเป้าหมาย

อ่านต่อ >>

ญี่ปุ่น ฟื้นจากเงินฝืดสู่เงินเฟ้อ สร้างภูมิต้านทานสงครามการค้า

เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปี 2025 พร้อมกับการพลิกจากภาวะเงินฝืดสู่ภาวะเงินเฟ้อ ในขณะที่ผลกระทบจากประเด็นการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ เป็นไปอย่างจำกัด จึงทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีโอกาสจะเป็นตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้ดีและมีความแข็งแกร่งในปี 2025 นี้

อ่านต่อ >>

ธ.ทิสโก้ เปิด 3 กลุ่มสินทรัพย์ โอกาสสร้างกำไรทะยาน ! ปี 68

Wealth Advisory ธนาคารทิสโก้ คาดนโยบาย โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หนุน 3 กลุ่มสินทรัพย์ราคาทะยาน ได้แก่ 1. กลุ่มอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ คือ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย บริการการสื่อสาร และกลุ่มสถาบันการเงิน 2. กลุ่มประเทศที่ราคาหุ้นขึ้นช่วงสงครามการค้า คือ อินเดีย เวียดนาม และญี่ปุ่น และ 3. กลุ่มสินทรัพย์ได้ประโยชน์จากนโยบายการเงิน – การคลัง คือ ตราสารหนี้ รีท และทองคำ พร้อมชี้ราคาหุ้นจีน น้ำมัน และพลังงานจ่อดิ่ง แนะหลีกเลี่ยงลงทุน

อ่านต่อ >>

แจกทริกตั้งเป้าหมายทางการเงินให้ปังไม่พังตั้งแต่ต้นปี

เมื่อเริ่มต้นปีใหม่ หลายคนมักตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาตัวเองในด้านต่าง ๆ รวมถึงเรื่องการเงิน เช่น การออมเงิน ลดหนี้ หรือเพิ่มรายได้ แต่บ่อยครั้งที่เป้าหมายเหล่านี้มักไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ ข้อมูลจาก Forbes พบว่ากว่า 80% ของการตั้งเป้าหมายช่วงปีใหม่มักล้มเหลวภายในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยทั้ง การตั้งเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน ขาดการวางแผนที่ดี และการลงมือทำที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งปัญหาเหล่านี้สามารถจัดการได้ถ้ารู้จักหลัก S.M.A.R.T. รวมถึงเพิ่ม 3 ทริกที่จะเพิ่มโอกาสความสำเร็จของเป้าหมาย

อ่านต่อ >>

ญี่ปุ่น ฟื้นจากเงินฝืดสู่เงินเฟ้อ สร้างภูมิต้านทานสงครามการค้า

เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในปี 2025 พร้อมกับการพลิกจากภาวะเงินฝืดสู่ภาวะเงินเฟ้อ ในขณะที่ผลกระทบจากประเด็นการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ เป็นไปอย่างจำกัด จึงทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีโอกาสจะเป็นตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้ดีและมีความแข็งแกร่งในปี 2025 นี้

อ่านต่อ >>

ธ.ทิสโก้ เปิด 3 กลุ่มสินทรัพย์ โอกาสสร้างกำไรทะยาน ! ปี 68

Wealth Advisory ธนาคารทิสโก้ คาดนโยบาย โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หนุน 3 กลุ่มสินทรัพย์ราคาทะยาน ได้แก่ 1. กลุ่มอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ คือ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย บริการการสื่อสาร และกลุ่มสถาบันการเงิน 2. กลุ่มประเทศที่ราคาหุ้นขึ้นช่วงสงครามการค้า คือ อินเดีย เวียดนาม และญี่ปุ่น และ 3. กลุ่มสินทรัพย์ได้ประโยชน์จากนโยบายการเงิน – การคลัง คือ ตราสารหนี้ รีท และทองคำ พร้อมชี้ราคาหุ้นจีน น้ำมัน และพลังงานจ่อดิ่ง แนะหลีกเลี่ยงลงทุน

อ่านต่อ >>
Scroll to Top
ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น และนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้องและตรงกับความสนใจของท่าน โดยท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก นโยบายการใช้คุกกี้ กรุณากดยอมรับเพื่อยินยอมให้เราใช้คุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็น

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึกการตั้งค่า