การประกันสุขภาพ ตัวช่วยรับมือความเสี่ยงด้านการเงินจากโรคเบาหวาน
นิตยสาร Trust ฉบับที่ 68 | คอลัมน์ Health Protection Advisory
โรคเบาหวานเป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก และเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของการเกิดโรคร้ายแรงอื่น เช่น โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคไตวาย การสูญเสียการมองเห็น หรือการสูญเสียอวัยวะจากแผลเบาหวานเรื้อรัง การป้องกันไม่ให้ประชากรป่วยด้วยโรคเบาหวานจึงเป็นนโยบายที่หน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลกให้ความสำคัญ ทั้งลดการบริโภคน้ำตาล การออกกำลังกาย อย่างไรก็ตาม หากเกิดโรคเบาหวานแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูแลรักษา ตรวจติดตาม และป้องกันโรคหรือผลแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นตามมา ซึ่งในการรับมือโรคเบาหวานอย่างมีประสิทธิภาพ อาจมีค่าใช้จ่ายทั้งทางตรงและทางอ้อมเป็นระยะเวลานานและอาจกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินได้ ดังนั้น การหาวิธีรับมือความเสี่ยงด้านสุขภาพและด้านการเงินจากโรคเบาหวาน โดยการใช้จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มประกันสุขภาพจึงเป็นเครื่องมือหนึ่งที่สามารถช่วยผู้ป่วยและคนใกล้ชิดได้ในระยะยาว
รู้จักโรคเบาหวาน
โรคเบาหวาน คือ โรคที่เซลล์ร่างกายมีความผิดปกติในขบวนการเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงาน โดยขบวนการนี้เกี่ยวข้องกับอินซูลินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อนเพื่อใช้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อน้ำตาลไม่ได้ถูกใช้จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นกว่าระดับปกติ โดยสามารถแบ่งได้เป็น 4 กลุ่มตามสาเหตุการเกิด ได้แก่
1. โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (type 1 diabetes mellitus, T1DM) เกิดจากการที่เซลล์ตับอ่อนถูกทำลายจากภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ขาดอินซูลิน มักพบในเด็ก
2. โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (type 2 diabetes mellitus, T2DM) เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด กว่า 95% ของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมด เกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน มักพบในผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนร่วมด้วย
3. โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes mellitus, GDM) เป็นโรคเบาหวานที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ มักเกิดเมื่อไตรมาส 2-3 ของการตั้งครรภ์
4. โรคเบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะ (specific types of diabetes due to other causes) มีได้หลายสาเหตุ เช่น โรคทางพันธุกรรม โรคของตับอ่อน โรคทางต่อมไร้ท่อ ยาบางชนิด เป็นต้น
การวินิจฉัยโรคเบาหวานสามารถทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่นิยมคือ การวัดระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร (อย่างน้อย 8 ชั่วโมง) ≥ 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือ การตรวจระดับน้ำตาลสะสม (A1C) ≥ 6.5% ซึ่งเมื่อได้รับการวินิจฉัยโรคเบาหวานควรได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อลดภาวะแทรกซ้อนระยะยาวจากเบาหวาน ทำได้โดยการควบคุมระดับน้ำตาล ในปัจจุบันระดับน้ำตาลที่เป็นเป้าหมายจะมีค่าที่เหมาะในผู้ป่วยแต่ละราย โดยขึ้นกับอายุ ระยะเวลาที่เป็นเบาหวาน การมีโรคแทรกซ้อน ความเจ็บป่วยและโรคร่วม รวมถึงประวัติการเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำ
ผลกระทบด้านการเงินจากโรคเบาหวาน
แม้ว่าการมีโรคประจำตัว หรือเป็นโรคเบาหวานเพียงอย่างเดียว ก็จำเป็นต้องได้รับการตรวจติดตาม และรับการรักษาจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เกิดเป็นค่าใช้จ่ายที่ต่อเนื่องตลอดช่วงอายุของผู้ป่วย ทั้งการพบแพทย์ การเจาะเลือด และค่ายา หากมีผลแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน เช่น โรคหัวใจ หรือโรคอื่นข้างต้น ก็จำเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล และทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นไปอีก เคยมีการศึกษาค่าใช้จ่ายในการดูแลโรคเบาหวานของโรงพยาบาลรัฐบาลในภาคเหนือของประเทศไทย พบว่าค่ารักษาแบบผู้ป่วยนอกช่วงปีแรกเฉลี่ยอยู่ที่ 22,874 บาท และมีค่ารักษาแบบผู้ป่วยในช่วงปีแรกเฉลี่ยอยู่ที่ 160,790 บาท ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายทางอ้อม เช่น ค่าเดินทาง ค่าที่พักญาติ ค่าเสียโอกาส การหยุดทำงาน หรือขาดรายได้ และหากผู้ป่วยเลือกรักษาในโรงพยาบาลเอกชน ย่อมมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นกว่าเดิม
ความคุ้มครองของประกันสุขภาพต่อโรคเบาหวาน
เนื่องจากค่าใช้จ่ายของโรคเบาหวานมีหลายลักษณะ เช่น ค่ารักษาผู้ป่วยนอก ค่ารักษาผู้ป่วยใน หรือการเจ็บป่วยด้วยโรคแทรกซ้อนจากเบาหวาน ความคุ้มครองของประกันสุขภาพจึงมีความหลากหลายขึ้นกับความต้องการของผู้เอาประกัน สามารถแบ่งเบื้องต้นได้ดังนี้
1. ความคุ้มครองแบบผู้ป่วยนอก ครอบคลุมการตรวจติดตามโรคเบาหวานและการรับยาโรคเบาหวานต่อเนื่อง ซึ่งการติดตามรักษาเบาหวานที่ดี จะช่วยลดโอกาสการนอนโรงพยาบาลหรือเกิดผลแทรกซ้อนจากเบาหวานได้อย่างมาก และยืดคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยให้สามารถมีความสุขกับการใช้ชีวิตได้อย่างชัดเจน
2. ความคุ้มครองแบบผู้ป่วยใน คุ้มครองกรณีที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล ทั้งจากโรคเบาหวานเอง หรือจากผลแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนของผู้ป่วยในนี้เป็นส่วนที่ส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อความมั่นคงทางการเงิน เนื่องจากมักมียอดค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะในกลุ่มโรคแทรกซ้อนจากเบาหวาน
3. ความคุ้มครองโรคร้ายแรง คุ้มครองตามเงื่อนไขกรมธรรม์ในลักษณะของเงินก้อนเพื่อใช้ในการดูแลรักษาเมื่อป่วยด้วยโรคแทรกซ้อนของเบาหวานที่สำคัญ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคไตวาย เป็นต้น
4. ค่าชดเชยรายวัน เป็นการจ่ายเงินชดเชยให้ผู้เอาประกันเมื่อต้องขาดงานเนื่องจากเข้ารักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน ซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อผู้ป่วยโรคเบาหวานต้องรักษาในโรงพยาบาล ทำให้ขาดรายได้
โรคเบาหวานกับการทำประกันสุขภาพ
โดยหลักการรับประกันภัย ผู้รับประกันจะรับประกันโดยไม่คุ้มครองภาวะที่เป็นมาก่อนการทำประกัน ซึ่งเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หายขาด เพียงแต่ควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดในการทำประกันเพื่อรับมือกับโรคเบาหวานคือการทำประกันสุขภาพก่อนที่จะเป็นโรคเบาหวาน เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองอย่างครบถ้วนด้วยเบี้ยประกันที่สอดคล้องกับสุขภาพของผู้เอาประกัน อย่างไรก็ตาม บางครั้งผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือเป็นโรคเบาหวานแล้ว ก็ยังคงมองหาความคุ้มครองจากประกันสุขภาพ ซึ่งจำเป็นต้องพิจารณาถึงลักษณะโรคเบาหวานของผู้เอาประกันแต่ละรายว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถรับประกันได้หรือไม่ และขึ้นกับข้อกำหนดของผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพแต่ละชนิด
ดังนั้น การให้ความสำคัญกับโรคเบาหวาน ทั้งในเรื่องสุขภาพและด้านการเงินจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะถือเป็นโรคที่พบได้บ่อย ซึ่งสามารถป้องกันในเบื้องต้นได้ เช่น การลดการบริโภคน้ำตาล การออกกำลังกาย และหากต้องการลดความเสี่ยงจากผลกระทบของโรคเบาหวานต่อความมั่นคงทางการเงิน การเลือกประกันสุขภาพก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ใช้ในการลดผลกระทบได้ โดยสามารถพิจารณาเลือกให้เหมาะสมกับความต้องการและความจำเป็นของแต่ละคน โดยควรทำประกันสุขภาพก่อนที่จะเกิดโรคเบาหวานเพื่อให้สามารถได้รับความคุ้มครองอย่างครบถ้วน