Uzbekistan - The Soul of Central Asia “อุซเบกิสถาน” นครวัฒนธรรมมรดกโลกแห่งเอเชียกลาง
นิตยสาร Trust ฉบับที่ 69 | คอลัมน์ Horizon
อุซเบกิสถานคือจุดเชื่อมต่อสำคัญระหว่างทวีปเอเชียและยุโรป เพราะเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เป็นส่วนสำคัญของเส้นทางการค้าทางบกที่เรียกว่าเส้นทางสายไหม (The Silk Road) ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างจักรวรรดิจีนจากโลกตะวันออกและอาณาจักรโรมันแห่งโลกตะวันตก ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,000 ปี เนื่องจากเส้นทางนี้เกิดขึ้นตั้งแต่หนึ่งศตวรรษก่อนคริสต์ศักราช
ปัจจุบัน อุซเบกิสถานถือเป็นประเทศที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ และมีประชากรหนาแน่นที่สุดในภูมิภาคเอเชียกลาง (Central Asia) ที่ประกอบด้วย 5 ประเทศ ได้แก่ คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน และเติร์กเมนิสถาน โดยอุซเบกิสถานได้เดินทางผ่านกาลเวลาพร้อมเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ มากมาย ก่อให้เกิดอัตลักษณ์เฉพาะตัวและเป็นศูนย์รวมของวัฒนธรรมที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิสมานิด (Persian Samanid Dynasty) จนกลายเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมอิสลาม การเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรมองโกลในยุคสมัยของเจงกิสข่าน การเข้ายึดครองของจักรวรรดิติมูริด (Timurid Empire) การเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต (Soviet Union) ก่อนการล่มสลาย และในที่สุดก็ได้ประกาศป็นสาธารณรัฐอุซเบกิสถาน เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2534
ในทางภูมิศาสตร์ อุซเบกิสถานน่าสนใจไม่แพ้แง่มุมอื่น ที่นี่คือหนึ่งในสองประเทศของโลก (อีกประเทศหนึ่งคือลิกเตนสไตน์) ที่ถูกล้อมรอบด้วยประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล (Doubly Landlocked Country) ภายในประเทศประกอบด้วยภูมิประเทศแบบภูเขา หุบเขา ที่ราบ รวมถึงทะเลทรายที่กินพื้นที่มากถึง 300,000 ตารางกิโลเมตร ส่งผลให้ในประเทศมีความหลากหลายของภูมิทัศน์ และเมื่อผนวกรวมกับสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่อลังการในแต่ละพื้นที่ ร้อยเรียงไปกับเรื่องราวประวัติศาสตร์อันยาวนาน ยิ่งส่งเสริมเสน่ห์ให้ที่นี่กลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางอันแสนโดดเด่นแห่งภูมิภาคเอเชียกลาง ที่ดึงดูดนักเดินทางจากทั่วโลก
Tashkent: A Blend of Ancient and Modern
แม้ว่าหน้าประวัติศาสตร์ของทาชเคนต์จะสามารถสืบย้อนไปได้กว่า 2,000 ปี ทว่าสถาปัตยกรรมโบราณส่วนใหญ่ได้ถูกทำลายลงทั้งจากฝีมือมนุษย์และภัยธรรมชาติ โดยตั้งแต่ในศตวรรษที่ 13 เมื่อเจงกิสข่านนำทัพมองโกลโจมตีเมือง ไปจนถึงการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 1966 ได้ก่อให้เกิดการสร้างเมืองใหม่ที่ได้เปลี่ยนภูมิทัศน์ของทาชเคนต์ เกิดเป็นอัตลักษณ์หลากหลายที่สร้างเสน่ห์ให้เมือง ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมตระการตา ชุมชนเมืองเก่าที่ยังคงคึกคัก และถนนหนทางอันร่มรื่น
ทริปนี้แนะนำให้เริ่มต้นทำความรู้จักทาชเคนต์ ณ เขตเมืองเก่า (Eski Shahar) และทำความรู้จักกับวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นที่ตลาดชอร์ซู (Chorsu Bazaar) ตลาดสดที่มีอายุกว่า 2,000 ปี แหล่งค้าขายอาหารขนาดใหญ่ใจกลางเมือง เยือนมัสยิดอิหม่าม (Hazrati Imam Complex) ที่ตั้งของมัสยิด สุสาน และโรงเรียนสอนศาสนา เป็นศูนย์กลางศาสนาอิสลามอันยิ่งใหญ่อายุเก่าแก่กว่า 400 ปี ที่สวยงามวิจิตรด้วยสถาปัตยกรรมอลังการและการตกแต่งเปี่ยมรายละเอียด
แล้วไปศึกษาเรื่องราวของหนึ่งในประวัติศาสตร์ช่วงสำคัญของอุซเบกิสถาน ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งรัฐประวัติศาสตร์เตมือร์ (State Museum of the Temurids) ที่มีหลักใหญ่ใจความของเรื่องราวเกี่ยวกับอามีร์ ตีมูร์ (Amir Timur) ขุนศึกผู้เป็นบุคคลสำคัญของชาติ ไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์คือที่ตั้งของจัตุรัสอนุสาวรีย์อามีร์ ตีมูร์ (Amir Timur Square) ที่มีรูปปั้นของอามีร์ ตีมูร์ ตระหง่านบนหลังม้า โดยมีฉากหลังเป็นโรงแรมอุซเบกิสถาน (Hotel Uzbekistan) ซึ่งเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กของเมืองที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมบรูทัลลิสต์ (Brualist Architecture)
Beyond the Capital City
เที่ยวชมเมืองหลวงจุใจแล้ว แนะนำให้ท่องเที่ยวธรรมชาติบริเวณรอบนอก เริ่มที่เทือกเขาชิมกาน (Chimgan) ที่อยู่ห่างจากทาชเคนต์ เกือบสองชั่วโมงไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาเทียนชาน (Tien Shan) อันยิ่งใหญ่แห่งทวีปเอเชียที่มีอาณาเขตถึง 5 ประเทศ ได้แก่ จีน ปากีสถาน อินเดีย คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน และอุซเบกิสถาน
เทือกเขาชิมกานสูงเหนือระดับน้ำทะเล 3,309 เมตร สวยโดดเด่นด้วยทัศนียภาพของทิวเขา ต้นไม้นานาชนิด และทะเลสาบ ที่นี่เหมาะสำหรับกิจกรรมเดินป่าชมธรรมชาติในฤดูใบไม้ผลิ และเล่นสกีในฤดูหนาว จากเทือกเขาชิมกานเดินทางขึ้นเหนือไปไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็จะถึงอ่างเก็บน้ำชาร์วัค (Charvak Reservoir) ที่มีความยาวตลอดชายฝั่งเกือบ 100 กิโลเมตร อีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง และเป็นจุดพักผ่อนยอดนิยมของคนท้องถิ่น ที่เต็มไปด้วยกิจกรรมกลางแจ้งต่าง ๆ ทั้งว่ายน้ำ ล่องเรือ และร่มร่อน (Paragliding) ฯลฯ
ส่วนทางใต้ของทาชเคนต์ ห่างออกไปราว 300 กิโลเมตร คือที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติซามิน (Zaamin National Park) แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังในหมู่คนพื้นถิ่น งดงามจนได้รับสมญานามว่า “สวิตเซอร์แลนด์แห่งอุซเบกิซสถาน (Switzerland of Uzbekistan)” เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหลากหลายชนิด รวมถึงสัตว์ประจำถิ่นหายาก อาทิ นกกระสาดำ แมวป่าสกุลลิงซ์ หมีดำ เสือดาวหิมะ ฯลฯ นักท่องเที่ยวสายรักธรรมชาติจึงไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
From Samarkand to Khiva: Tracing the Uzbek Silk Road
หนึ่งในกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวต้องใส่ไว้ในรายการที่ต้องทำเมื่อเดินทางไปเยือนอุซเบกิสถาน คือการสำรวจเส้นทางสายไหมผ่าน 3 เมือง ได้แก่ ซามาร์คันด์ (Samarkand) บูคารา (Bukhara) และคีวา (Khiva)
เริ่มต้นกันที่ซามาร์คันด์ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของอุซเบกิสถานรองจากทาชเคนต์ ที่แห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานเกือบ 3,000 ปี จึงถือเป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แลนด์มาร์กสำคัญและมีชื่อเสียงของเมืองคือจัตุรัสเรจิสถาน (Registan Square) โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมและการตกแต่งตามวิถีศิลปะอิสลาม จัตุรัสขนาดใหญ่ที่ตั้งด้วยสิ่งปลูกสร้างสำคัญทั้งสาม ได้แก่ ศาสนสถาน, คาน (Khan) เป็นที่พักค้างคืนสำหรับคาราวาน และโรงเรียนสอนศาสนาที่เรียกว่ามัดรอซะห์ (Madrasah)
จุดหมายต่อไปคือสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก นั่นคือสุสานและอาคารพิธีกรรมชาห์ อิ ซินดา (Shah-i-Zinda) หมายถึงกษัตริย์ผู้ยังดำรงชีพ ตั้งอยู่บนเนินเขาอะโฟรเซียบ (Afrosiab) เริ่มปลูกสร้างตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 11-15 และศตวรรษที่ 19 ภายในประกอบด้วยกลุ่มอาคารหลายยุค ตัวอาคารประดับประดาด้วยกระเบื้องเคลือบงดงามหรูหรา สมศักดิ์ศรีการเป็นสุสานของเหล่าบุคคลสําคัญจากยุคสมัยต่าง ๆ
อีกหนึ่งสิ่งปลูกสร้างสำคัญประจำเมืองซามาร์คันด์ คือมัสยิดบีบี คานุม (Bibi Khanum Mosque) ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1399 ในยุคสมัยการปกครองของจักรวรรดิติมูริด ใช้เวลาก่อสร้างราวห้าปี ในช่วงศตวรรษที่ 15 ที่นี่คือหนึ่งในมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะจุดประสงค์หลักในการสร้างคือความต้องการแสดงอํานาจการปกครองดินแดนของอามีร์ ตีมูร์
Discovering Bukhara's Silk Road Legacy
จากซามาร์คันด์ เดินทางต่อมายังบูคารา เมืองโอเอซิสท่ามกลางทะเลทราย อีกหนึ่งสถานที่สำคัญของอุซเบกิสถานที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลก ในอดีตคือจุดศูนย์กลางสำคัญทางการค้าบนเส้นทางสายไหม จึงเป็นจุดแวะพักของกองคาราวาน รวมทั้งเป็นศูนย์กลางของศาสนาอิสลามในเอเชียกลาง
การก้าวเข้าสู่เมืองเก่าของบูคาราเปรียบเสมือนการก้าวข้ามกาลเวลา ที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต ถนนหนทางที่คดเคี้ยวเรียงรายไปด้วยมัสยิด สุเหร่า สถานศึกษา เวิร์กช็อปงานฝีมือ สถานีคาราวาน (Caravanserai) รวมไปถึงร้านอาหารท้องถิ่น วิถีชีวิตของชาวเมืองที่นี่หมุนรอบจัตุรัสกลาง (Lyabi Khause Square) จุดศูนย์กลางคือสระน้ำโบราณล้อมรอบด้วยสถาปัตยกรรมอิสลามโบราณสามด้าน เป็นแหล่งแฮงก์เอาต์ที่จะทำให้นักเดินทางได้รู้จักเมืองแห่งนี้แบบคนท้องถิ่น ทั้งการลิ้มรสอาหารอุซเบก จิบชาขณะพักผ่อนใต้ร่มไม้ และดื่มด่ำกับบรรยากาศที่มีชีวิตชีวา
จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ บูคาราจึงเป็นเมืองที่เหมาะแก่การเดินสำรวจอย่างแช่มช้า เพื่อให้หลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความงามทางสถาปัตยกรรมค่อย ๆ เผยความงามอันน่าประทับใจออกมา ไม่ว่าจะเป็น อาร์ค (Ark Fortress) ป้อมปราการที่ใหญ่ที่สุดในเมืองบูคารา สามารถมองเห็นทั้งเมืองจากหอคอย พระราชวังฤดูร้อน (Sitorai Mohi Hosa) อันเงียบสงบ สุเหร่าคาลอน (Kalon Minaret) สูงตระหง่าน 47 เมตร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมือง รวมถึงเหล่าโรงเรียนสอนศาสนาที่โด่งดังเรื่องการตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง ทั้งมิริ อาหรับ (Mir-i-Arab) นาดีร์ ดิวานเบกิ (Nadir Divanbegi) และ อับดุล อซิซ ข่าน (Abdul Aziz Khan)
Khiva: A City Frozen in Time
ปิดท้ายด้วยเมืองสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดอย่างเมืองคีวา ที่เป็นหนึ่งในเมืองสำคัญที่เหล่าคาราวานใช้เป็นแหล่งพักพิงจุดแรกหลังจากรอนแรมกลางทะเลทรายขณะเดินทางผ่านเส้นทางสายไหม โดยคีวาเป็นอีกหนึ่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมของอุซเบกิสถาน ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนในปี 1990 จวบจนปัจจุบัน นอกจากนี้ คีวายังคงเปี่ยมมนตร์อย่างเก่าก่อนราวกับหยุดนิ่งอยู่ในกาลเวลา โดยเฉพาะบริเวณจุดศูนย์กลางของเมืองป้อมปราการอิชานคาลา (Itchan Kala) ที่มีกำแพงล้อมรอบ ภายในมีมัสยิดโบราณ พระราชวังอันโอ่อ่า และตลาดที่คึกคัก
ที่นี่คือ “เมืองภายในเมือง” ที่ยังเปี่ยมจิตวิญญาณโบราณ ทั้งวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ช่างฝีมือยังคงฝึกฝนงานฝีมือแบบดั้งเดิม ถนนหนทางอวลไอกลิ่นหอมของเครื่องเทศ มหัศจรรย์ความงามของสถาปัตยกรรมเก่าแก่ อาทิ หอคอยสุเหร่าคัลตา มิเนอร์ (Kalta Minor Minaret) ที่มีกระเบื้องประดับอย่างวิจิตร มัสยิดจูมา (Juma Mosque) อันยิ่งใหญ่ และพระราชวังทอชโฮฟลี (Tosh-Hovli) อันโอ่อ่า แต่ละแห่งต่างกระซิบเล่าเรื่องราวในอดีตอันรุ่งโรจน์ของเมือง
คีวายังได้เปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนได้ดื่มด่ำกับวัฒนธรรมอุซเบก ทั้งการได้สำรวจความงามของสิ่งปลูกสร้างในยุคกลาง เรียนรู้ศิลปะการอบขนมปังแบบดั้งเดิม หรือชมการแสดงเต้นรำแบบคอเรซึ่ม (Khorezm Dance) ที่เปี่ยมด้วยพลังชีวิต ความมีชีวิตชีวาของอิชานคาลา กระตุ้นให้ผู้มาเยือนปรารถนาที่จะทำความรู้จักที่แห่งนี้อย่างลึกซึ้ง และเกิดปฏิสัมพันธ์แนบแน่นกับชุมชนท้องถิ่น คีวาจึงเป็นหนึ่งจุดหมายปลายทางที่ถือเป็นหัวใจแห่งมรดกทางวัฒนธรรมของอุซเบกิสถาน
The Kyzylkum: A Timeless Landscape of Sand and Sky
หากให้ครบถ้วนสมบูรณ์ของการสำรวจเส้นทางสายไหม นักเดินทางจึงไม่ควรพลาดการไปเยือนทะเลทรายคีซีลคุม ทะเลทรายกว้างใหญ่ใจกลางประเทศอุซเบกิสถาน ส่วนสำคัญของการเชื่อมต่อวัฒนธรรมเอเชียและยุโรปผ่านกองคาราวานขนส่งสินค้าในยุคโบราณ ชนเผ่าเร่ร่อนเรียกทะเลทรายแห่งนี้ว่าบ้านเป็นเวลาหลายศตวรรษ ชีวิตของพวกเขาเชื่อมโยงอย่างแนบแน่นกับสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายทว่าเต็มไปด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจ เกิดเป็นความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมเมื่อเวลาผันผ่าน แสดงให้เห็นความสามารถในการอยู่รอดของมนุษย์ในสภาวะที่ท้าทาย
ดินแดนคีซีลคุมอุดมด้วยพืชพรรณที่ปรับตัวให้งอกงามท่ามกลางทะเลทราย เช่น ต้นแซ็กซอล (Saxaul Trees) และต้นทามาริสก์ (Tamarisks) เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์นานาชนิด รวมถึงสุนัขจิ้งจอก และนกกว่า 200 สายพันธุ์ จึงเป็นสวรรค์ที่แท้จริงสำหรับนักดูนก มีแม่น้ำอมู ดาร์ยา (Amu Darya) และสรี ดาร์ยา (Syr Darya) ที่ไหลผ่านจึงช่วยหล่อเลี้ยงชุมชนท้องถิ่นและสร้างพื้นที่สีเขียว ส่วนยามค่ำคืนท่ามกลางความมืดมิด ดวงดาวคือแสงสว่างท่ามกลางผืนฟ้ากว้างใหญ่จรดผืนทรายสุดลูกหูลูกตา จึงควรค่าแก่การตั้งแคมป์กลางทะเลทรายและทำความรู้จักกับวิถีชีวิตดั้งเดิมของชนเผ่า เพราะคีซีลคุมเปี่ยมด้วยประวัติศาสตร์ยาวนาน สัตว์ป่าหายาก รวมถึงธรรมชาติน่าเกรงขามแต่กลับงดงามจับใจ ที่จะสร้างความตราตรึงในจิตใจได้อย่างยาวนาน
จากตลาดที่คึกคักของทาชเคนต์ สู่เสียงสะท้อนแห่งอดีตของซามาร์คันด์ จากมนต์เสน่ห์เหนือกาลเวลาของบูคารา สู่กำแพงเมืองของคีวา และท้องฟ้ากว้างใหญ่พร่างพราวด้วยดวงดาวประดับส่องแสงระยิบระยับยามค่ำคืน ณ ทะเลทรายคีซีลคุม อุซเบกิสถานคืออัญมณีน้ำงามแห่งเอเชียกลาง ที่จะส่งมอบประสบการณ์ประทับใจแก่นักท่องเที่ยว ผ่านเรื่องราวของเส้นทางสายไหม สถาปัตยกรรมยิ่งใหญ่ และธรรมชาติงดงาม นี่คือดินแดนประวัติศาสตร์มีชีวิต ท่ามกลางความตระการตาไร้ขอบเขตเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวที่รอการค้นพบในทุกมุมเมือง