Metaverse เจาะโลกเศรษฐกิจและการลงทุนแห่งอนาคต
นิตยสาร Trust ฉบับที่ 59 | คอลัมน์ Special Issue
Metaverse ไม่ใช่สิ่งใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา แต่หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Metaverse ถูกพูดถึงกันเป็นอย่างมากมาจากการที่ Facebook แพลตฟอร์มที่รวมชุมชนออนไลน์ขนาดเกือบ 3,000 ล้านคน ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “Meta” เมื่อปลายเดือนตุลาคม 2564 และตอกย้ำปณิธานที่จะนำพามนุษย์เข้าสู่โลก Metaverse อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมกับนำเสนอภาพของโลก Metaverse ในจินตนาการของ Mark Zuckerberg ไว้อย่างน่าสนใจ
TRUST ฉบับนี้ จึงจะพาไปพูดคุยกับ คุณฐาปน พานิช หัวหน้าสำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์กลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคม (Telecom) ในประเทศไทย มาตั้งแต่ปี 2008 และได้ติดตามพัฒนาการของโลก Metaverse มาตั้งแต่ช่วงต้น ซึ่งจะมาช่วยฉายภาพให้เห็นถึงโอกาสที่อาจจะเกิดขึ้นจาก “เศรษฐกิจใหม่” สำหรับนักลงทุนและผู้ที่สนใจอยากสร้างความมั่งคั่งใน “โลกคู่ขนาน” ที่เชื่อกันว่าจะเป็นโลกเศรษฐกิจแห่งอนาคต
จักรวาลเสมือนที่เรียกว่า “Metaverse”
นิยามของคำว่า Metaverse มีอยู่หลากหลาย บางคนก็เรียกว่า “พหุภพ” บ้างก็เรียกว่า “Beyond Universe” บ้างก็ “โลกคู่ขนาน” หรือที่ได้ยินบ่อยๆ ก็คงจะเป็น “โลกเสมือน” หรือ “โลกทิพย์” หรือตามคำบัญญัติของราชบัณฑิตยสภา ก็จะเรียกว่า “จักรวาลนฤมิต” แต่สำหรับคุณฐาปน ได้ให้นิยามคำนี้ไว้ว่า เป็นพื้นที่เสมือน (Virtual Reality Space) ที่ผู้คนสามารถเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์ ไปทำงาน ไปสนุก และใช้ชีวิตในพื้นที่นั้น ซึ่งเป็นมิติใหม่ในการแสดงการมีตัวตน (New Dimension of Existence) ในโลกที่ไม่ใช่โลกแห่งความจริง (Real World)
คุณฐาปน มองว่า Metaverse ถือเป็นวิวัฒนาการอีกก้าวหนึ่งของอินเทอร์เน็ต ที่เริ่มจาก Internet 1.0 ในช่วงทศวรรษ 1980 จนถึงปี 2005 โดยเป็นยุคที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ต ด้วยการใช้โมเด็มและ ADSL ต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ (Desktop และ Laptop) และมีเว็บไซต์ (www) และ Search Engine เป็นช่องทางในการสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลกับโลกซึ่งอินเทอร์เน็ตในยุคนั้น มักถูกใช้งานในรูปแบบของการโฆษณาประชาสัมพันธ์และการให้ข้อมูลของกิจการที่เป็น Brick and Mortar หรือกิจการที่มีหน้าร้าน และทำการซื้อขายผ่านหน้าร้านในโลกแห่งความจริง
สำหรับ Internet 2.0 เริ่มตั้งแต่ปี 2005 จนถึงปัจจุบัน โดยยุคนี้เป็นช่วงที่เริ่มมี
Smartphone เป็นเครื่องมือในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ซึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญก็คือ
iPhone เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้คนทั่วโลกปรับตัวมาใช้ในเวลาอันรวดเร็ว ส่งผลให้บริษัทโทรคมนาคมพัฒนาความเร็วของสัญญาณอินเทอร์เน็ต และเริ่มมีนักพัฒนา Application เข้ามาสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในยุคนี้ จนกลายเป็นต้นกำเนิดของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ อย่าง Uber, Grab, Alibaba และ Line เป็นต้น
“ด้วยเทคโนโลยีที่จำกัด ในยุค Internet 1.0 นั้น การใช้งานอาจจะยังทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากการใช้เพื่อแลกเปลี่ยนถ่ายเทข้อมูล พอมาถึงปี 2008 ถึง 2015 ก็จะเป็นช่วงวิวัฒนาการสำคัญของ Smartphone หลังจากนั้นก็มีพัฒนาการมาเรื่อยๆ แต่ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่เป็นก้าวใหญ่มากนัก จนกระทั่งมีเทคโนโลยี Blockchain และ Virtual Reality (VR) ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่จะนำไปสู่ยุค Internet 3.0 นั่นก็คือ Metaverse ซึ่งเป็นก้าวกระโดดของวิวัฒนาการอีกครั้ง
โดยแรงขับเคลื่อนสำคัญก็คือ การเกิดขึ้นของอุปกรณ์และเทคโนโลยี Augmented Reality (AR) เทคโนโลยีโลกเสมือนที่ผสานกับโลกแห่งความจริง ด้วยการใช้ระบบซอฟต์แวร์และอุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ Virtual Reality (VR) เทคโนโลยีการจำลองภาพให้เสมือนจริงแบบ 360 องศา ที่จะต้องใช้ควบคู่ไปกับแว่นตา VR และ Extended Reality (XR) เทคโนโลยีเสมือนจริงที่ผสมผสานหลากหลายมิติเข้าด้วยกันทั้ง AR และ VR เป็นต้น ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่คนจำนวนมากเริ่มเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์เหล่านี้ เหมือนในยุคที่ผู้คนเริ่มเปลี่ยนมาใช้ Smartphone เมื่อนั้นก็จะเกิดคลื่นความเปลี่ยนแปลงเหมือนยุค 2.0”
จับตา New Economy ในโลก Metaverse
มีคำกล่าวว่า “GameFi” เปรียบเสมือนต้นกำเนิดของ Metaverse จึงไม่น่าแปลกใจที่ในเฟสแรกของ Metaverse อาจจะถูกมองว่าเป็นเรื่องของอุตสาหกรรมความบันเทิง
“ช่วงแรกที่เริ่มเกิด Internet 1.0 หลายคนยังไม่ได้ให้ความสนใจมากนักและอินเทอร์เน็ตตอนนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของความบันเทิง ยังไม่มีกิจกรรมเชิงพาณิชย์ เว็บไซต์ค้าขายออนไลน์ก็ยังไม่มี เป็นแค่อีกแพลตฟอร์ม
ในการโฆษณาให้กับ Brick and Mortar แต่จากจุดนั้น อินเทอร์เน็ตก็ได้พัฒนาการมาไกลจนถึงวันนี้ เฟสแรกของ Metaverse เราอาจยังมองไม่ออกว่าจะพัฒนาไปไกลขนาดไหน แต่คาดการณ์จากเทคโนโลยีที่มองเห็นในตอนนี้ Metaverse จะกลายเป็นโลกคู่ขนานกับโลกแห่งความจริง ที่คนทั้งโลกจะเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในนั้น มีปฏิสัมพันธ์กัน สังสรรค์กัน และมีกิจกรรมเชิงพาณิชย์เหมือนในโลกแห่งความจริง”
คุณฐาปน ขยายความว่า ธุรกรรมออนไลน์ (E-commerce) ในยุค Internet 2.0 แม้ลูกค้าจะจับต้องสินค้าไม่ได้ แต่ด้วยเทคโนโลยี VR ร่วมกับ Deep Tech อื่นๆ จะทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนได้จับต้องสินค้าและได้สวมใส่สินค้าเสมือนจริง หรืออย่างการประชุมออนไลน์ในปัจจุบันที่เป็นการปฏิสัมพันธ์กับผู้ร่วมประชุมผ่านหน้าจอ แต่หากเข้ามาอยู่ในโลก Metaverse ผู้เข้าประชุมก็จะรู้สึกเหมือนได้พบหน้า เห็นสายตาและท่าทางได้ราวกับอยู่ในห้องประชุมด้วยกัน
“คอนเซ็ปต์ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจใน Metaverse Economy ไม่ต่างจากโลกแห่งความจริง คือ ประกอบด้วยการเป็นเจ้าของสินทรัพย์ การผลิตสินค้าและบริการ การซื้อขายและแลกเปลี่ยนด้วยสกุลเงิน โดยในช่วงแรกกลไกที่ทำให้เกิดการถ่ายโอนความมั่งคั่งในโลกแห่งความจริงไปสู่ Metaverse Economy คือ Cryptocurrency และ NFTs โดยการสร้างและซื้อขายสินค้าดิจิทัลในโลก Metaverse จะใช้ทรัพยากรและเวลาในการผลิตที่น้อยกว่ามาก ดังนั้น วงจรเศรษฐกิจของ Metaverse Economy จึงหมุนเร็วกว่า บวกกับแนวโน้มที่คนจะเชื่อมต่อกับโลก Metaverse ตลอดเวลาจึงคาดกันว่าในอนาคตมูลค่าของ Metaverse Economy อาจจะใหญ่กว่าเศรษฐกิจในโลกแห่งความจริง”
คุณฐาปน ให้ข้อมูลว่า GDP โลกปี 2020 มีมูลค่า 84.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีการคาดการณ์ว่า ในปี 2024 มูลค่าของ Metaverse Economy อาจสูงถึง 8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่เมื่อใดที่เศรษฐกิจโลกฟื้นกลับมาเต็มที่ Metaverse Economy จะขยายตัวเร็วมาก และจะมี “Billionaire” เกิดขึ้นอีกมหาศาล เพราะโลก Metaverse มีศักยภาพมากที่จะทำให้เกิดการสร้างงานและสตาร์ทอัพใหม่ๆ
อย่างไรก็ดี คุณฐาปน ย้ำว่า ตราบที่ยังไม่มีการกำกับดูแล Metaverse Economy โลกเสมือนก็จะมีความผันผวนและมีความเสี่ยงสูงมาก เพราะมูลค่าทางเศรษฐกิจอาจถูกสร้างได้และทำลายได้ด้วยระบบทุนนิยมสุดขั้ว (Brutal Capitalism) ซึ่งการล่มสลาย จะกระทบกับเศรษฐกิจในโลกแห่งความจริงได้ ส่วนความเสียหายจะมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับจำนวนของพลเมืองและขนาดเศรษฐกิจของแพลตฟอร์ม Metaverse
เกมยอดนิยมที่ถือได้ว่าเป็นรูปแบบแรกๆ ของโลก Metaverse
ธุรกิจมีสิทธิ์ “ติดลมบน” ใน Metaverse
นอกจากกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมที่ได้รับประโยชน์แล้ว คุณฐาปนมองว่า อีกกลุ่มธุรกิจที่จะได้รับอานิสงส์เต็มๆ คือผู้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในโลก Metaverse อาทิ Cloud Computing และ Data Center เนื่องจากต้องมีการเก็บและประมวลผล Data จำนวนมหาศาล เพื่อทำให้การเชื่อมต่อกับโลกเสมือนลื่นไหลไร้รอยต่อ
อีกกลุ่มธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์อย่างมาก ก็คือ ผู้พัฒนาเทคโนโลยี VR, XR และผลิตอุปกรณ์ Headset ซึ่งเป็น “กุญแจสำคัญ” ที่จะไขสู่โลก Metaverse นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มผู้พัฒนา Deep Tech และอุปกรณ์อื่นที่เข้ามาเติมเต็มประสบการณ์เสมือนให้ใกล้เคียงความรู้สึกจริงจากการสัมผัสมากที่สุด เช่น Bio-sensor Textile เป็นต้น
ถัดมาเป็นกลุ่มธุรกิจด้าน Social Media หัวจักรสำคัญที่เร่งเครื่องชุมชนออนไลน์ให้ย้ายไปเป็นพลเมืองโลก Metaverse ผลที่จะตามมา คือขบวนการดิสรัป (Disruption) ในกลุ่มธุรกิจสื่อโฆษณา เพราะเมื่อมีผู้คนเข้าไปใช้เวลาในโลกเสมือนเยอะขึ้น แบรนด์ย่อมต้องเข้าไปจับจองพื้นที่เพื่อสร้างการมองเห็น (Visibility) มากขึ้นด้วย เพราะในโลก Metaverse โฆษณาจะสามารถอยู่ในสายตาของผู้คนได้ตลอดเวลาจากอุปกรณ์ที่ใช้ใส่
เพื่อเชื่อมต่อโลกแห่งนี้ และแน่นอนว่า ธุรกิจในระบบนิเวศของ E-commerce ในยุค Internet 2.0 ก็ย่อมต้องคว้าโอกาสนี้ เพราะเป็นการเติมเต็มการชอปปิงออนไลน์ด้วยประสบการณ์เสมือนได้สัมผัสสินค้าจริง
นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจสื่อและธุรกิจบันเทิงจะเป็นกลุ่มที่กลับมาทำเงินได้ใหม่ จากการนำลิขสิทธิ์เพลง หนัง ละคร คอนเสิร์ต และคอนเทนต์อื่น มาขายในโลก Metaverse โดยเฉพาะคอนเทนต์ที่สร้างประสบการณ์เสมือนจริงที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง เช่น การเข้าไปอยู่ในหนังฮอลลีวูดที่ชอบ การบินเหนือสถานที่สำคัญทั่วโลก เป็นต้น
สำหรับกลุ่มธุรกิจ Esports ที่ใหญ่อยู่แล้วในยุค Internet 2.0 จะเป็นกลุ่มที่จะยิ่งใหญ่มากขึ้นได้อีกในโลก Metaverse ทั้งจากการปฏิสัมพันธ์ที่เสมือนจริงมากขึ้น และจำนวนผู้ชมที่จะเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น รวมถึงโอกาสในการทำให้ “ของ (Digital Item)” ในเกมแปลงเป็นทรัพย์สินเพื่อแลกเปลี่ยนซื้อขายก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ยังมีกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับ Metaverse แบบที่หลายคนคาดไม่ถึง อย่างกลุ่มธุรกิจประกันด้วย โดยในอนาคตจะเข้ามามีบทบาทอย่างมาก เนื่องจากสินทรัพย์ดิจิทัลในโลกเสมือน มีโอกาสถูกขโมยหรือทำให้เสียหายได้เช่นกัน รวมถึงกลุ่มธุรกิจด้าน Cyber Security ที่มีศักยภาพในการทำตลาด เพราะอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อกับโลก Metaverse จะเข้าถึงข้อมูล Biometric ของผู้ใช้งาน ซึ่งการถูกแฮก (Hack) ข้อมูลเหล่านี้อาจสร้างความเสียหายอย่างคาดไม่ถึง “ในโลกแห่งความจริง หากถูกขโมยบัตรเครดิต ไม่นานบัตรก็จะถูกธนาคารระงับ เท่ากับระงับความเสียหายไว้ได้ แต่ถ้าโดนปล้นสินทรัพย์ในโลก Metaverse คุณอาจหมดตัวในโลกเสมือน ซึ่งความมั่งคั่งในโลกนั้นอาจจะสูงกว่าในโลกแห่งความจริงก็เป็นได้”
ที่มา: Venturebeat.com
มองโอกาสการลงทุนในโลก Metaverse
แน่นอนว่า Metaverse จะมีความสำคัญ และมีบทบาทอย่างมากในอนาคต แต่หากสนใจที่จะลงทุน คุณฐาปน แนะนำว่า ควรเลือกลงทุนผ่านกองทุน ETF เนื่องจากมีความโดดเด่นในด้านกระจายความเสี่ยงได้ดี อีกทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ธุรกิจที่ลงทุนได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนมีโอกาสลงทุนในบริษัทที่ดีจากทั่วทุกมุมโลกได้
“การลงทุนในเมกะเทรนด์ Metaverse ด้วยการเลือกหุ้นแต่ละตัว (Stock Pick) นั้น ค่อนข้างจะเลือกได้ยากและมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงมาก เพราะวันนี้เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าบริษัทที่ดูเหมือนจะเป็น “ยักษ์ใหญ่” ด้าน Metaverse ในตอนนี้ อีก 5 ปีจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง จึงแนะนำให้ลงทุนในกองทุน ETF มากกว่า เพราะมีการกระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในหลากหลายบริษัท และควรเลือกกองที่ไม่ได้ลงทุนแค่บริษัทในสหรัฐฯ แต่ควรเป็นกองที่มีการกระจายทั่วโลก โดยเฉพาะจีน เพราะจักรวาล Metaverse ของยักษ์ใหญ่ในจีนก็มีบริษัททางด้าน Hardware ที่มีพัฒนาการที่น่าจับตาไม่แพ้กัน”
ในจักรวาลคู่ขนานแห่งนี้มีโอกาสที่มากกว่าเข้าถึงได้ง่ายกว่า และมูลค่าเศรษฐกิจสูงกว่า เพราะแทบจะไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของทรัพยากรที่เป็นปัจจัยการผลิต นี่จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสของการลงทุนเช่นกัน